ดักเก็บ 6 หุ้นคลายร้อน ยอดขายพุ่ง!กำไร Q1 กระฉูด รับพื้นฐานแข็งแกร่ง

เมื่ออุณหภูมิช่วงซัมเมอร์ร้อนแรงขึ้นทุกวัน ก็นับว่าเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่ม และเครื่องกำเนินไอเย็น ที่จะมีโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หวังทำยอดขายกันอย่างถล่มทลาย! จนตัวเลขกำไรไตรมาส 1 เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง


เมื่ออุณหภูมิช่วงซัมเมอร์ร้อนแรงขึ้นทุกวัน ก็นับว่าเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มและเครื่องกำเนิดไอเย็นที่จะมีโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หวังทำยอดขายกันอย่างถล่มทลายในช่วงฤดูร้อน ขณะที่ตัวเลขกำไรไตรมาสแรกของปี มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้ง SET และ mai ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน อีกทั้งเข้าใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 13-15 เม.ย.นี้ โดยมี 6 บจ. ที่น่าสนใจ และเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าว ประกอบไปด้วย ICHI SAPPE, OISHIKOOL, TIPCO  และ MALEE

 

อันดับที่ 1 บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่ม โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ICHI เปิดแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขายภายในประเทศปี 2559 บริษัทตั้งเป้ายอดขายโต 18% เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อนที่ 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากชาเขียว และเย็นเย็น 6,650 ล้านบาท ,ยอดขายจาก Bireley’s  600 ล้านบาท และยอดขายจากการส่งออก 250 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทได้จัดกลยุทธ์การจัดแคมเปญในช่วงหน้าร้อนเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเบื้องต้นคาดว่าในช่วงไตรมาส 1/59 น่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายทั้งเทียบไตรมาสก่อนหน้า และเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องไปจนถึงช่วง High Season ในไตรมาส 2/59 ทำให้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยคาดว่าราคาหุ้นน่าจะเป็นภาพของการฟื้นตัวขึ้น อิงมูลค่าเหมาะสมเดิมที่ 15.60 บาท

 

อันดับที่ 2 บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดว่ากำไรปี 2559 กลับมาเติบโตได้จากประสิทธิภาพในการลดต้นทุนและยอดขายที่ฟื้นตัว คาดกำไรปี 5259 อยู่ที่ 358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% จากปีก่อน

โดยคาดว่ายอดขายโต 14.4% จากปีก่อน ที่ 2,875 ล้านบาท เป็นการโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศเน้นกลยุทธ์ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะที่คาดว่าต้นทุนขายที่ลดลง โดยประเมินอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5% จากปีก่อน ที่ 41.2% ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 23 บาท 

 

อันดับที่ 3 บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ OISHI ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น

ด้าน บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรปี 2559 เพิ่ม 8% จากปีก่อน แม้การขยายสาขาในส่วนของธุรกิจอาหารอาจจะต่ำกว่าเป้าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มที่ออกมาสูงกว่าคาดมากในปีที่ผ่านมา ทำให้คาดรายได้และกำไรสุทธิในปี 2559 ของ OISHI จะยังเห็นการเติบโตได้โดยคาดไว้ที่ 13,822 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน และ 770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน และจากปัจจัยบวกเรื่องผลประกอบการที่ออกมาดี จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 103 บาท

 

อันดับที่ 4 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม

โดย KOOL ระบุว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้บริษัทวางแผนที่จะทำการตลาดในเชิงรุกครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก รวมถึงช่องทางออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้ยอดขายเติบโตประมาณ 40% จาก 640 ล้านบาทในปีก่อน

 

อันดับ 5 บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบรนด์ Tipco

โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่าได้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยสัดส่วน P/BV ที่ 0.9 เท่า และหักส่วนลด ในฐานะที่เป็นโฮลดิ้งส์ 10% จะได้ราคาเหมาะสมที่ 15.06 บาท ส่วนแนวโน้มกำไรปี 2559 ของ TASCO นั้นคาดว่าจะลดลงเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน แนะนำ “ถือ” TIPCO ราคาเป้าหมาย 15.06 บาท/หุ้น

 

อันดับ 6 บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลไม้กระป๋องและน้ำผลไม้ ภายใต้เครื่องหมายการค้า มาลี โดยมีจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า MALEE ได้ใช้กลยุทธ์สร้างนวัตกรรมน้ำผลไม้ทำการตลาดในประเทศ อีกทั้งมองว่ายอดขายในฟิลิปปินส์จะกลายเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตในสองสามปีข้างหน้า ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 40.70 บาท อิง P/E 13.9 เท่า ในปี 2560 (-1SD ของ P/E เฉลี่ยกลุ่มอาหาร)

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button