ขีดจำกัดขาขึ้นพลวัต 2016
“มาร์ก โมเบียส” ผู้บริหารของ Templeton Emerging Markets Group แห่งฮ่องกงเคยได้ฉายาว่า นักช้อนซื้อหุ้นถูกในตลาดเกิดใหม่ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำพยากรณ์ของศาสดาปลอมระลอกใหม่ หลังจากสองปีที่ผ่านมาเริ่มมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับ “สัมผัสกษัตริย์ไมดาส” ที่แตะอะไรก็เป็นทองไปหมด เพราะคาดเดาทิศทางผิดพลาด แถมพากองทุนในสังกัดขาดทุนเยอะแยะ
วิษณุ โชลิตกุล
“มาร์ก โมเบียส” ผู้บริหารของ Templeton Emerging Markets Group แห่งฮ่องกงเคยได้ฉายาว่า นักช้อนซื้อหุ้นถูกในตลาดเกิดใหม่ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำพยากรณ์ของศาสดาปลอมระลอกใหม่ หลังจากสองปีที่ผ่านมาเริ่มมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับ “สัมผัสกษัตริย์ไมดาส” ที่แตะอะไรก็เป็นทองไปหมด เพราะคาดเดาทิศทางผิดพลาด แถมพากองทุนในสังกัดขาดทุนเยอะแยะ
โมเบียสระบุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กองทุนภายใต้การบริหารและกำกับของเขา คาดเดาถูกต้องเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาว่า ตลาดจะไปต่อเป็นขาขึ้นและเขาก็ยังเชื่อว่าจากนี้ไปตลาดเกิดใหม่ก็ยังคงจะเป็นขาขึ้นต่อไป เพราะมีหุ้นราคาถูกอยู่จำนวนมาก
เหตุผลของโมเบียส มี 2 ประการ แรกสุด ตลาดจีนแม้จะมีความเสี่ยงแต่ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนหลังสุด ค่าดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าจากมาตรการของเฟดฯที่ไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ย ได้จูงใจให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายทุนมายังตลาดเกิดใหม่กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
มุมมองของโมเบียส (ซึ่งไม่ได้สร้างความประหลาดใจ) ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้จัดการกองทุนและนักวางกลยุทธ์ทางการเงินของสำนักวิเคราะห์ต่างๆในโลก เหตุผลสำคัญ ก็คือ ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกมีแนวโน้มกำไรถดถอยลง ทำให้ค่า พี/อี ของตลาดเกิดใหม่สูงขึ้นจนเข้าขั้นสุ่มเสี่ยง
ตัวอย่างเช่นตลาดหุ้นไทยล่าสุดมีค่า พี/อี ของดัชนีล่าสุดอยู่ที่ 20 เท่า และ แนะนำไปก็หลายสำนักประเมินว่าค่า พี/อีเหมาะสมสิ้นปีนี้ควรจะอยู่ที่ 16 เท่า หรือที่ดัชนีสิ้นปี ไม่เกิน 1,420 จุด หากเทียบกับตลาดนิวยอร์ก ที่ดัชนี S&P500 มีค่า พี/อี อยู่ที่ระดับ 16.8 เท่า และตลาดฮ่องกง ที่ พี/อี ระดับต่ำกว่า 9 เท่า
ข้อเท็จจริงดังกล่าว สะท้อนว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นบลูชิพมีโอกาสที่จะร่วงลงไปต่ำกว่าระดับปัจจุบันโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารและสื่อสาร
กำไรสุทธิไตรมาสแรกหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยลดลงเกือบ 9% ในขณะที่ไตรมาสสองจะลดลงไปอีกจากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว 2 ครั้งในเวลาเพียง 1 เดือน และกำไรหุ้นสื่อสารที่โตช้าลง เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว เป็นโจทย์ที่ท้าทายนักลงทุนไม่น้อยที่ดัชนีเหนือระดับ1,400 จุด ว่าจะหาทางลงที่นิ่มนวลเช่นไร ให้บอบช้ำน้อยที่สุด
บางคนถึงขั้นบอกว่าโมเบียส ยัง “ออกของ” ไม่หมด เลยกลัวหุ้นจะลงเร็วกว่าที่ตัวเองต้องการก็เลยออกมาพูดเช่นนี้เพื่อซื้อเวลาในการลดการขาดทุนตามปกติของผู้ที่มีผลประโยชน์
โดยข้อเท็จจริง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดเดือนกุมภาพันธ์เป็นสัญญาณบวกอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจจะไม่ตกต่ำมากไปกว่านี้ แต่แรงเหวี่ยงขาลง ที่สะท้อนออกมาจาก ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของหุ้นหลักในตลาด เช่น กลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หุ้นสถาบันการเงินทั่วโลก ที่ถูกแรงกดดันในเรื่องความสามารถทำกำไรจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการขาเดียวทางการเงิน เริ่มมีอาการ “ดื้อยา” เพราะนอกจากไม่ได้ทำให้เกิดการลงทุนในภาคการผลิตและบริการใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การจ้างงานขนานใหญ่ ยังทำให้เกิดปัญหายืดเยื้อของภาวะกับดักสภาพคล่องดำรงอยู่ต่อไปยาวนานกว่าปกติ
ทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก เริ่มถูกตั้งคำถามมากยิ่งขึ้น และแพร่กระจายไปเมื่อเดือนพฤษภาคมกำลังย่างกรายเข้ามาทุกขณะ ทำให้นักลงทุนเริ่มอ้างอิงและระวัง หลายคนเริ่มงัดคำพังเพยเก่าๆ ในวอลล์สตรีทที่ว่า“ขายหุ้นทิ้งเดือนพฤษภาคม แล้วกลับมาใหม่เดือนกันยายน” มาอ้างอิงเพื่ออธิบาย ความชอบธรรมของการขายหุ้นทิ้งอีกครั้ง แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
ที่จีน การขายหุ้นทิ้งในตลาดเซี่ยงไฮ้อย่างรุนแรงกลางสัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุพิเศษจากมาตรการของรัฐแล้วย้ายไปทำราคาผลิตภัณฑ์เหล็กในตลาดเก็งกำไรโภคภัณฑ์ โดยใช้ข่าวลือเรื่องราคาพุ่งขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหม่ในจีนยามนี้ จนทางการจีนต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการอัดฉีดเงินเสริมสภาพคล่องตลาดเงินอีกครั้ง พร้อมการสอบสวนผู้อยู่เบื้องหลังการย้ายพอร์ตครั้งใหญ่ดังกล่าว
ขีดจำกัดขาขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกเริ่มชัดเจนต่อเนื่อง สวนทางกับ “ชาวสวน” อย่างโมเบียส ดูได้จากกราฟสัญญาณทางเทคนิคที่เริ่มมีขีดจำกัดขาขึ้นชัดเจน
กราฟของดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ ปิดแกว่งไร้ทิศทางในกรอบแคบๆ แต่ที่ชัดเจนคือ สัญญาณแท่งเทียนเกิด doji evening star ในขณะที่เส้นกราฟ macd (ทิศทางระยะกลาง) และ stoch (ทิศทางระยะสั้น) เริ่มตัดกัน โดยแรงซื้อเริ่มเท่ากับแรงขาย และแรงขายจะเพิ่ม บทบาท ทั้งสองสัญญาณ หากจะมีการรีบาวด์ของดัชนีบ้าง ก็มีขีดจำกัดขาขึ้นทุกขณะ ยากไปลากต่อได้ ต้องพักฐาน หรือ ปรับฐาน
กราฟที่ส่งสัญญาณทางลบมากกว่าบวกอย่างนี้ บอกว่าโอกาสลงมีมากกว่าขึ้น การปรับพอร์ตเพิ่มถือเงินสด เป็นความจำเป็น
แม้ว่าขาลงของตลาดอาจจะไม่รุนแรง หลังจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่การลงทุนในตลาดที่มีขีดจำกัดขาขึ้น เป็นมากกว่าการผจญภัยที่เต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรค ซึ่งทำให้นักลงทุนมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ง่ายๆ
อนาคตสดใส แต่หนทางคดเคี้ยว เป็นข้อสรุปเฉพาะหน้าที่ นักลงทุนต้องเตรียมสภาพจิตใจและเครื่องมือให้พร้อม โดยเฉพาะการเรียนรู้ว่า “ตัดขาดทุน” นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีต้นทุน ที่อยู่นอกเหนือตำรา “เล่นหุ้นให้รวย” ทั้งหลายที่มีวางขายในท้องตลาดเกลื่อนกลาด ที่เข้าข่าย “เรียนว่ายน้ำทางไปรษณีย์”
ไม่มีของฟรี หรืออะไรที่เรียกว่า “ฟ้าประทาน” ในการเรียนรู้เรื่องลงทุน เพราะยามตลาดขาขึ้น การทำกำไรง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ยามตลาดฯปรับตัวลง การตัดขาดทุนเป็นโจทย์ที่ยากกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกหลายเท่าเสมอ