ATP30 บวกเกือบ 5% หลังลงนามร่วมมือเชลล์ ประเทศไทย-LIT หนุนธุรกิจแกร่ง

ATP30 บวกเกือบ 5% หลังลงนามร่วมมือเชลล์ ประเทศไทยเพื่อบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลงนาม MOU กับ LIT เพื่อสนับสนุนสินเชื่อ เสริมสภาพคล่องในการทำธุรกิจอย่างรวดเร็วให้กับคู่ค้าของ ATP30 โดย ล่าสุด ณ เวลา 15.06 น.ราคาอยู่ที่ 1.47 บาท ปรับตัวขึ้น 0.06 บาท หรือ 4.26% มูลค่าซื้อขายที่ 12.59 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ณ เวลา 15.06 น.ราคาอยู่ที่ 1.47 บาท ปรับตัวขึ้น 0.06 บาท หรือ 4.26% มูลค่าซื้อขายที่ 12.59 ล้านบาท โดยราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 1.41 บาท ต่ำสุดที่ 1.41 บาท สูงสุดที่ 1.48 บาท

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น มีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากวานนี้ นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ ATP30 ได้ลงนามความร่วมมือกับ เชลล์ ประเทศไทย เพื่อใช้บริการ Shell Card ซึ่งถือเป็นผู้นำระบบบัตรเติมน้ำมันในประเทศ สามารถบริหารและควบคุมบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบออนไลน์ ตรวจสอบรายละเอียดการใช้บัตร พร้อมทั้งออกแบบ Report ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งมีระบบควบคุมการใช้งานกำหนดให้แต่ละบัตรคู่กับยานพาหนะแต่ละคัน สามารถระบุผลิตภัณฑ์และบริการที่คนขับรถสามารถใช้บัตรได้ ซึ่งการใช้บริการดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงนามความร่วมมือใน MOU กับ บริษัท ลีซ อิท จำกัด (มหาชน) หรือ LIT ในโครงการเติมทุนหมุนเวียนคู่ค้า หรือ LIT-Supply Chain Finance เพื่อสนับสนุนสินเชื่อ เสริมสภาพคล่องในการทำธุรกิจอย่างรวดเร็วให้กับคู่ค้าของ ATP30 โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ เพราะซัพพลายเออร์บางส่วนของบริษัทเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่นำรถตู้มาวิ่งร่วมในสัญญา หากซัพพลายเออร์มีทุนเพียงพอก็จะสามารถขยายกำลังรถให้เพียงพอต่อความต้องการของบริษัทได้มากขึ้น เป็นการยกระดับมาตรฐานของอาชีพให้กับซัพพลายเออร์เหล่านี้ ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตามการขยายงานของ ATP30 จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เติบโตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการเดินรถ บุคลากร ตลอดจนการบริหารจัดการให้มีความพร้อมและเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยในช่วงไตรมาสแรกบริษัทลงนามสัญญากับลูกค้ารายใหม่แล้วจำนวน 3 ราย  อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจราจากับลูกค้ารายใหม่อีก 4 ราย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งในปีนี้มั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตได้ดีทั้งรายได้และกำไร โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 59 ที่ประมาณ 310 ล้านบาทหรือเติบโตไม่น้อยกว่า 15% และคาดว่าจะมีกำไรที่สูงขึ้นจากปี 58 อย่างมีนัยสำคัญ

 

Back to top button