คุ้มครอง(แบงก์)เงินฝาก ลูบคมตลาดทุน
มีปุจฉาว่า จริงๆ แล้ว การเลื่อนลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากออกไป เพราะต้องการช่วย “แบงก์” หรือ “คนฝากเงิน”
ธนะชัย ณ นคร
มีปุจฉาว่า จริงๆ แล้ว การเลื่อนลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากออกไป เพราะต้องการช่วย “แบงก์” หรือ “คนฝากเงิน”
นั่นคือ การยืดระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากที่ระดับ 15 ล้านบาทออกไปจนถึงเดือนส.ค. 2561 (กฎหมายที่ปรับปรุงใหม่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2559) ก่อนทยอยลดลงสู่ 1 ล้านบาทภายในปี 2563
ก่อนหน้านี้ คนที่มีเงินฝากในระดับนี้ต่างก็รับทราบกันแล้วล่ะ
และหลายคนก็วางแผนทางการเงิน หรือเตรียมกระจายเงินฝากของตนเองไปยังแบงก์ต่างๆ มากขึ้น หรือช่องทางการออม หรือการลงทุนอื่นๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในแบงก์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง
ไม่ว่าจะเป็น BBL KTB KBANK และ SCB
ดังนั้น คนที่มีเงินฝากในธนาคารขนาดใหญ่แบบกระจุกตัว เขาก็ต้องกระจายบัญชีออกไป
เช่น ไปเปิดบัญชีกับธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่น หรือเฉลี่ยเงินฝากไปยังธนาคารขนาดกลาง และเล็กแทน
ทั้งนี้ ก็เพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป
แน่นอนว่า หากเป็นรูปแบบนี้ ธนาคารที่มีคนฝากเงินมากๆ ก็จะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ที่ถูกมองว่าจะได้รับผลกระทบ
ส่วนธนาคารขนาดกลางและเล็ก ก็อาจไม่ได้กระทบอะไรมาก
หรืออาจจะเป็นปัจจัยบวกเสียด้วย เพราะจะมีเงินฝากไหลเข้ามามากขึ้น
คนที่มีเงินฝากจำนวนมาก ยังวางแผนที่จะนำเงินเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอื่นๆ ด้วย เช่น การซื้อประกันชีวิต หรือการซื้อกองทุนที่มีระดับความสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนที่ลงทุนพันธบัตรต่างๆ
แต่เมื่อ มีการเลื่อนความคุ้มครองออกไป ก็ทำให้แผนเหล่านั้น เลื่อนออกไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ นำร่องเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ทั้งดอกเบี้ย MLR MOR และ MRR ราวๆ 0.25%
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้นยังไม่ปรับลด
แม้ว่าในช่วงนี้ แบงก์จะปล่อยสินเชื่อได้ค่อนข้างลำบาก
ทว่าในด้านของเงินฝากนั้น แต่ละแห่งก็ยังบริหารจัดการได้ โดยให้อัตราส่วนของเงินกู้และเงินฝาก ยังคงมีความสัมพันธ์กัน หรือ L/D ratio(Loan-to-deposit ratio) ซึ่งเป็นปริมาณสินเชื่อต่อยอดเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์
ถามว่า แบงก์เมื่อลดดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ยังไม่ลดเงินฝาก
มีความเป็นไปได้ไหมที่พวกเขายังต้องการดึงเงินฝากไว้กับธนาคารตัวเองต่อไป
คำตอบคือ ก็อาจเป็นไปได้
เพราะหากดอกเบี้ยเงินฝากปรับลง ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินฝากแน่นอน โดยเฉพาะกับคนที่มีบัญชีเงินฝากมูลค่าหลักสิบล้านบาท หรือมากกว่านั้น
และหากกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก เข้ามามีผลบังคับใช้อีกในช่วงอีก 4 เดือนข้างหน้าพอดี
ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ ระบบเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่อาจมีปัญหา
จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นนโยบายที่ต้องการ “อุ้ม” ธนาคารขนาดใหญ่ หรือไม่
เพราะหากดูข้ออ้างที่ที่นำมาใช้ในการเลื่อนนั้น ไม่ค่อยสมเหตุผลสักเท่าไหร่
สำหรับการยืดความคุ้มครองเงินฝากครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
เพราะในช่วงหลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐฯในปี 2551 และปี 2555 หรือหลังจากที่ไทยเพิ่งผ่านเหตุมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงในปี 2554
ในปี 2555 นั้น รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาออกมาเกี่ยวกับเรื่องคุ้มครองเงินฝาก
นั่นก็คือ ยืดระยะเวลาการคงวงเงินคุ้มครองเงินฝากไว้ที่ 50 ล้านบาทออกไปอีก 3 ปี จนถึง 10 สิงหาคม 2558 โดยอ้างว่าเศรษฐกิจไทยกำลังทยอยฟื้นตัว
ในช่วงวิกฤติการเงินปี 2540 เราต้องสูญเสียเงินจำนวนมากเพื่ออุ้มแบงก์
และผ่านมาจนถึงวันนี้ การอุ้มแบงก์ก็ยังมีให้เห็น