เฟดส่งสัญญาณไม่รีบขึ้นดบ. ดาวโจนส์ปิดวานนี้บวก 51 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) ขานรับเฟดที่ส่งสัญญาณว่าจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นเกือบ 3% อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหลังจากบริษัทแอปเปิล อิงค์ เปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (27 เม.ย.) ที่ 18,041.55 จุด เพิ่มขึ้น 51.23 จุด หรือ +0.28%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,863.14 จุด ลดลง 25.14 จุด หรือ -0.51% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,095.15 จุด เพิ่มขึ้น 3.45 จุด หรือ +0.16%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันไว้ และส่งสัญญาณว่ายังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น แม้ว่ากิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจชะลอตัวลง ขณะที่การขยายตัวด้านการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนปรับตัวลดลง ถึงแม้รายได้ที่แท้จริงของภาคครัวเรือนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับสูงก็ตาม ส่วนเงินเฟ้อคาดว่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาวของเฟดที่ระดับ 2% โดยถูกกระทบจากการลดลงของราคาน้ำมันและดัชนีราคา แต่เฟดมีความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวแตะ 2% ในระยะกลาง

ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้น 2.9% เมื่อคืนนี้ เพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเอฟเอ็มซี เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 6.5% หุ้นเฮสส์ คอร์ป ดีดตัวขึ้น 3.1%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 110.5 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากแอปเปิล อิงค์ เปิดเผยว่า ยอดขายไอโฟนในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 51 ล้านเครื่อง ซึ่งลดลง 10 ล้านเครื่องจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และนับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 10 ปี

แอปเปิลระบุว่า รายได้ในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 5.06 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 1.90 ดอลลาร์ต่อหุ้น ลดลงจากระดับ 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.33 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วงลง 6.2% หุ้นไมโครซอฟท์ และหุ้นอัลฟาเบธ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ต่างก็ปรับตัวลงเช่นกัน ส่วนหุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 16% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ

ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1/2559, ยอดการใช้จ่ายส่วนบุคคลไตรมาส 1/2559 และ ดัชนีกิจกรรมการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดแคนซัสซิตี้

Back to top button