ดาวโจนส์ปิดร่วง 140 จุด ราคาน้ำมันดิ่งฉุดหุ้นพลังงาน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 พ.ค.) หลังจากราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงกว่า 2% ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากมีรายงานว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและอังกฤษอ่อนแรงลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (3 พ.ค.) ที่ 17,750.91 จุด ร่วงลง 140.25 จุด หรือ -0.78%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,763.22 จุด ลดลง 54.37 จุด หรือ -1.13% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,063.37 จุด ลดลง 18.06 จุด หรือ -0.87%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2.5% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังจากมีรายงานว่าประเทศตะวันออกกลาง รวมถึงอิหร่าน ผลิตและส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น
การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 6.8% หุ้นเซาท์เวสต์ เอนเนอร์จี ดิ่งลง 6.7% หุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลง 5.6% ส่วนหุ้นฮัลลิเบอร์ตันดิ่งลงหนักสุดในรอบ 3 เดือน หลังจากมีรายงานว่า ฮัลลิเบอร์ตัน และเบเกอร์ ฮิวจ์ อิงค์ สองบริษัทผู้ให้บริการขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ประกาศยกเลิกแผนการควบรวมกิจการ หลังจากที่แผนกันดังกล่าวถูกคัดค้านจากทางการสหรัฐและยุโรป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแรงลงของจีนและอังกฤษ โดยเมื่อวานนี้ มาร์กิตและไฉซินระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนปรับตัวลงแตะระดับ 49.4 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 49.7 ในเดือนมี.ค. ขณะเดียวกันมาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษในเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 49.2 ร่วงลงจากระดับ 50.7 ในเดือนมี.ค. โดยหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวแตะ 51.2
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 1.9% หุ้นเลกก์ เมสัน ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐ และหุ้นแอฟฟิลิเอทเต็ด เมเนเจอร์ กรุ๊ป ต่างก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 3.2% หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงเช่นกัน นำโดยหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ และหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งต่างก็ปรับตัวลงกว่า 1.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายรถยนต์ในเดือนเม.ย.ที่น้อยกว่าการคาดการณ์ ส่วนหุ้นกู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ ร่วงลง 1.2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นไฟเซอร์พุ่งขึ้น 2.7% หลังจากไฟเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรสุทธิพุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.02 พันล้านดอลลาร์ หรือ 49 เซนต์/หุ้นในไตรมาสแรก จากระดับ 2.38 พันล้านดอลลาร์ หรือ 38 เซนต์/หุ้น จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ตัวเลขจ้างงานเดือนเม.ย.จาก ADP, ยอดส่งออก ยอดนำเข้า และดุลการค้าเดือนมี.ค., ประสิทธิภาพการผลิต-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้นไตรมาส 1/2559, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.โดยมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนเม.ย.โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมี.ค.