แผนขายหุ้นเดือนพ.ค.อาจไม่ได้ผลในปีนี้
หุ้นเข้าสู่วันสุดท้ายของเดือนเมษายนด้วยอารมณ์เหวี่ยงๆ แต่เดือนพฤษภาคมก็อาจจะไม่ใช่เวลาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงมาก คำกล่าวที่ว่า”ขายหุ้นเดือนพฤษภาคมแล้วออกจากตลาดไป”ดูเหมือนว่าจะเป็นไอเดียที่ดีเมื่อมองไปยังประวัติศาสตร์ แต่นักกลยุทธ์บางคนมองว่า ลมส่งท้ายเล็กน้อย ไม่ได้อยู่เบื้องหลังหุ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเมื่อดัชนีเอสแอนด์พี 500 แตะระดับสูงสุดตลอดกาล
–เส้นทางนักลงทุน–
หุ้นเข้าสู่วันสุดท้ายของเดือนเมษายนด้วยอารมณ์เหวี่ยงๆ แต่เดือนพฤษภาคมก็อาจจะไม่ใช่เวลาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงมาก คำกล่าวที่ว่า”ขายหุ้นเดือนพฤษภาคมแล้วออกจากตลาดไป”ดูเหมือนว่าจะเป็นไอเดียที่ดีเมื่อมองไปยังประวัติศาสตร์ แต่นักกลยุทธ์บางคนมองว่า ลมส่งท้ายเล็กน้อย ไม่ได้อยู่เบื้องหลังหุ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเมื่อดัชนีเอสแอนด์พี 500 แตะระดับสูงสุดตลอดกาล
และนี่ยังไม่ได้หมายความว่า ตลาดจะรอดพ้นจากช่วงเวลาอันยุ่งยากเมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายน ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประชุมอีกครั้งและอังกฤษลงประชามติว่าจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่
พอล ฮิกกี้ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบีสโปก กล่าวว่า ในขณะนี้ตลาดอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อปีก่อน แต่มีความแตกต่างอย่างหนึ่งคือปีก่อนมีหุ้นใหญ่ๆหยิบมือหนึ่งค้ำจุนตลาด แต่ในปีนี้ตรงกันข้ามในเชิงปฏิบัติ เรากำลังเห็นตลาดแข็งแกร่งในวงกว้าง และตราบเท่าที่มันเป็นเช่นนั้น ก็มีเหตุผลที่จะถือหุ้นในเดือนพฤษภาคม หรือไม่ขายในเดือนพฤษภาคม
เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่อ่อนแอที่สุดเดือนหนึ่งของปี โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นมีผลงานต่ำ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5% แต่ปิดลดลงเสียครึ่งหนึ่ง
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลงเกือบ 1% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และปิดที่ระดับ 2,075 จุด ซึ่งถือเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน และตลอดเดือนเมษายน ดัชนีเอสแอนด์พี ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.8%
ในวันเดียวกัน คาร์ล ไอคาห์น นักลงทุนชื่อดัง ประกาศว่าเขาได้ขายหุ้นแอปเปิ้ลทั้งหมด ทำให้หุ้นแอปเปิ้ลปรับตัวลงอย่างรุนแรงและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและดัชนี นอกจากนี้การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่เคลื่อนไหวในวันเดียวกันนั้น ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ในตลาดบูดบึ้ง
ครั้นพอวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มีการซื้อขายในเดือนเมษายน เทรดเดอร์ก็พากันจดจ้องข้อมูลอีกหลายตัว เช่น ดัชนี PCEซึ่งเป็นการวัดเงินเฟ้อของเฟด ข้อมูลการใช้จ่าย รายได้บุคคลและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแถลงผลประกอบการจากบริษัทใหญ่ๆหลายบริษัท เช่น เอ็กซ์ซอนโมบิล เชฟรอน ซาโนฟี อเมริกันทาวเวอร์ ฟิลิปส์66 และซีเกต เป็นต้น
แต่การ “ขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม” อยู่ในหัวของเทรดเดอร์หลังจากที่ตลาดหุ้นผันผวนมาก
ฮิกกี้กล่าวว่าไม่จำเป็นว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลง แต่มันแค่กลับมาซบเซาลง ในอดีต เดือนพฤษภาคมมักเป็นช่วงที่ตลาดอ่อนแอลง การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลเป็นสิ่งที่ฮิกกี้นำมาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์แล้ว แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญทั้งหมด ในขณะนี้เฟด เศรษฐกิจและตลาดโภคภัณฑ์เป็นปัจจัยที่ดีขึ้นมาก
แดเนียล ซูซูกิ นักกลยุทธ์หุ้นของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลล์ ลินช์ กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่หุ้นอาจจะดีดตัวต่อคือมีการลดโพสิชั่น และขาดความเชื่อมั่นในทางบวก
“เหตุผลหลักที่ผมคิดว่าตลาดสามารถถูไถไปต่อได้เล็กน้อยอยู่ที่การทำโพสิชั่น การดีดตัวที่หาได้ยากที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ไม่มีกองทุนเข้าไปมีส่วนร่วมมากนัก “ ซูซูกิ กล่าว โดยตั้งข้อสังเกตว่า ผลการสำรวจประจำเดือนของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลล์ ลินช์ประจำเดือนชี้ว่าจริงๆแล้วผู้จัดการกองทุนถือเงินสดแม้ว่าหุ้นปรับตัวขึ้น นักลงทุนสงสัยต่อการดีดตัว นักลงทุนมีแนวโน้มต้องการขายความแข็งแกร่งในตลาด การขาดความเชื่อมั่นเป็นตัวชี้ว่านักลงทุนจะทำในสิ่งตรงกันข้าม
ซูซูกิยังคาดการณ์ว่ากำไรจะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ซึ่งควรจะช่วยหนุนหุ้น แต่เขาก็มองว่าหุ้นจะส่งท้ายปีในระดับที่ลดลงโดยตั้งเป้าดัชนีเอสแอนด์พี 500 ไว้ที่ระดับ 2,000 จุด
“หุ้นปรับตัวขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์อย่างชัดเจน มีการดีดตัวอย่างน่าทึ่ง บริษัทที่มีมาร์เก็ตขนาดกลางและขนาดเล็กปรับตัวขึ้น 20% ส่วนบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากปรับตัวขึ้นประมาณ 15% การดีดตัวของบางบริษัทเราคิดว่าเหมาะสมเพราะข้อมูลมหภาคดีขึ้น แต่ก็มีการคาดการณ์ข่าวดีจำนวนมากไว้แล้ว อย่างไรก็ดี มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อยจากนี้ไปแม้ว่าจะเป็นการดีดตัวที่อ่อนแรงลง”ซูซูกิ กล่าว
ปรากฏการณ์ “ขายในเดือนพฤษภาคม”ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากนักกับผลงานของเดือนพฤษภาคมแต่มีข้อเท็จจริงในอดีตว่า ตลาดให้ผลตอบแทนในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคมน้อยกว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 6.3% ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน และ 85%ของช่วงเวลานี้ดัชนีเป็นบวก แต่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ดัชนีเอสแอนด์พี ปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.85% แม้60% ของช่วงเวลานี้ดัชนีเป็นบวก
แซม สโตวอลล์ นักกลยุทธ์ของบริษัท เอสแอนด์พี โกลบัล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลในปีนี้มีความซับซ้อนเพราะเป็นปีสุดท้ายในสมัยที่สองของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยปรับตัวลง
นับตั้งแต่ปี 2488 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนในปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง นั้น 70% ของช่วงนี้หุ้นเป็นบวกแต่ดีดตัวเฉลี่ยเพียง 0.1% ส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม หุ้นปรับตัวลงเฉลี่ย 2.6% และครึ่งหนึ่งของช่วงเวลานี้ ดัชนีเอสแอนด์พี ติดลบ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่สี่ของสมัยที่หนึ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้น
สโตวอลล์ กล่าวว่า นี่คือปีที่ต้องขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม และเป็นปีที่สี่ของประธานาธิบดีสหรัฐ แต่เขาจะไม่ขายในเดือนพฤษภาคม แต่จะสับเปลี่ยนหุ้นมากกว่าล่าถอย และกล่าวว่า ในอดีตหุ้นผู้บริโภคและสุขภาพมีผลงานแข็งแกร่งในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม
จากข้อมูลของสโตวอลล์ นับตั้งแต่ปี 2533 70% ของช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ภาคสินค้าหลักสำหรับผู้บริโภคมีผลงานโดดเด่นในดัชนีเอสแอนด์พี โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ย 4.6% ขณะที่ภาคสุขภาพมีผลตอบแทนเฉลี่ย 4.9% และ 65% ของช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดีกว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500