บลจ.กรุงไทย ชี้ลงทุนกองตราสารหนี้โชว์ผลงานกองทุนเด่น ยิลด์สูง 4.71%
บลจ.กรุงไทย คาดดอกเบี้ยในประเทศทรงตัวต่ำต่อเนื่อง แนะการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำกว่าการลงทุนหุ้น พร้อมโชว์ผลงานกองทุนเด่น ยิลด์สูงสุด 4.71%
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ตลาดตราสารหนี้ในปีนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพคล่องในระบบการเงินทั่วโลกรวมถึงตลาดการเงินไทย ที่มีอยู่ในปริมาณสูง ความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ไทย เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ภาคเอกชน หุ้นกู้/ตั๋วแลกเงินธนาคาร จึงปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ตราสารหนี้ออกใหม่ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมีน้อยกว่าความต้องการ
ทั้งนี้ บลจ.กรุงไทย คาดว่าดอกเบี้ยในประเทศจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่เศรษฐกิจอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแต่มีความเปราะบางและความไม่แน่นอนสูง การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น หรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และในปีนี้กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.กรุงไทย มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในกลุ่มกองทุนประเภทตราสารหนี้ จากการจัดอันดับของ มอร์นิ่งสตาร์
โดยผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 29 เมษายน 2559 (YTD) กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTDF) อยู่ที่ 4.71% กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF2) อยู่ที่ 4.93% หากเทียบกับเงินฝาก 1 ปี อยู่ที่ 1.37% กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะ 1 ถึง 3 ปี (KTFIX-1Y3Y) ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.08% เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.79% และกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ พลัส (KTPLUS) ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.72% เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.82%
สำหรับกองทุน KTPLUS เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อายุเฉลี่ยพอร์ตลงทุนไม่เกิน 1 ปี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการบริหารสภาพคล่องและพักเงินระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน ส่วนกองทุน KTFIX-1Y3Y เน้นบริหารเชิงรุกและสร้างผลตอบแทนรวมระยะ 1-3 ปี ให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เช่นเดียวกับกองทุน KTDF เน้นบริหารเชิงรุก มีเป้าหมายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และ RMF2 เน้นลงทุนเชิงรุกในตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนในรูปของการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และสร้างกระแสเงินสดแก่ผู้ถือหน่วยในระยะกลาง-ยาวอย่างสม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษี