พาราสาวะถี อรชุน
ท่ามกลางเสียงทักท้วงอื้ออึงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์อันเข้มงวดในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอันศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจไม่ได้อินังขังขอบต่อเสียงเหล่านั้น ยังคงยึดมั่นตามแนวทางที่วางกันไว้ล่วงหน้า โดยกรธ.จะเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับอนุญาตให้แจกแจงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างละเอียดยิบแบบไร้ฝ่ายโต้แย้ง และมีสนช.เป็นลูกคู่ในการอธิบายคำถามพ่วง
ท่ามกลางเสียงทักท้วงอื้ออึงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์อันเข้มงวดในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอันศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจไม่ได้อินังขังขอบต่อเสียงเหล่านั้น ยังคงยึดมั่นตามแนวทางที่วางกันไว้ล่วงหน้า โดยกรธ.จะเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับอนุญาตให้แจกแจงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างละเอียดยิบแบบไร้ฝ่ายโต้แย้ง และมีสนช.เป็นลูกคู่ในการอธิบายคำถามพ่วง
ท่วงทำนองเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าไปตอแยกับผู้มีอำนาจเพราะมีโอกาสที่จะถูกเล่นงานจากอำนาจวิเศษที่ถืออยู่ในมือได้ ในกรณีเสียงวิจารณ์ของคนในชาติอาจไม่มีความจำเป็นต้องรับฟังและถูกมองว่าเป็นพวกขาประจำ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องใดๆ ได้อยู่แล้ว แต่กระบวนการที่ทำกันอยู่นั้น หาได้เล็ดลอดสายตาจากต่างชาติไม่
เหมือนอย่างที่บทบรรณาธิการของชิคาโกทริบูนได้วิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญของคสช.ว่า การร่างรัฐธรรมนูญในแบบที่เผด็จการทหารพยายามรักษาอำนาจของตัวเองไว้ เช่น อำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี อำนาจในการแต่งตั้งส.ว. และการให้มีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ก็ดูเป็นเรื่องหลอกลวง
จากการที่มีการออกกฎห้ามรณรงค์สนับสนุนหรือต่อต้านรัฐธรรมนูญรวมถึงมีการฟ้องร้องคนที่วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยอ้างว่าใช้ภาษาหยาบคาย ซึ่ง วอลเทอร์ โลห์มาน ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียจากมูลนิธิเดอะเฮอริเทจ กล่าวว่า กองทัพกำลังพยายามสร้างอำนาจควบคุมทางการเมืองอยู่เหนือสถาบันอื่นๆ ทำให้หนทางสู่ประชาธิปไตยของไทยดูยุ่งยาก
สิ่งที่น่าสนใจคือ บทบรรณาธิการชิคาโกทริบูน มองว่า ผลแห่งการดำเนินการดังกล่าว ผู้ที่พ่ายแพ้สูญเสียมากที่สุดคือประชาชนชาวไทย ที่ต้องตกอยู่ภายใต้รัฐบาลที่กดขี่ปราบปรามและทำให้ความมั่งคั่งหายไป สหรัฐอเมริกาเริ่มลดระดับความสัมพันธ์กับไทย ระดับการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติลดลงอย่างมาก ประเทศกำลังก้าวถอยหลัง
สิ่งที่ชิคาโกทริบูนมองเห็น ก็คงเหมือนอย่างที่หลายคนในประเทศเคยท้วงติงไว้ก่อนหน้านี้ แม้ประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์การเมืองลุ่มๆ ดอนๆ แต่ไทยก็สามารถสร้างระบบการค้าเสรีและการเลือกตั้งเสรีได้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีสำหรับไทยและเป็นการทำให้ประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กระเตื้องขึ้น
จนกลายเป็นตัวอย่างแบบเดียวกับประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวันและอินโดนีเซีย ที่เป็นตัวอย่างทางบวกของประเทศที่มีเสรีทางเศรษฐกิจและมีเสรีทางการเมืองแต่ปัจจุบันประเทศไทยกำลังทำลายความเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้ หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 ทำให้ประเทศขาดโอกาสในการที่จะมีเสถียรภาพจากรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชน โดยแทนที่จะมีการเริ่มสร้างประชาธิปไตยใหม่ ท่านผู้มีอำนาจกลับพยายามยึดกุมอำนาจของตัวเองเอาไว้
ขณะที่หนทางแห่งการรักษาอำนาจยังต้องใช้เวลาโดยมีร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำเข้าสู่กระบวนการทำประชามติเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยสร้างความชอบธรรม อีกด้านดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจและคณะพยายามที่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรให้สัมผัสจับต้องได้แบบเป็นชิ้นเป็นอัน กระทั่งล่าสุด ผู้มีอำนาจถึงกับเกรี้ยวกราดต่อหน้าสื่อและผู้คนที่มาให้การต้อนรับก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
สิ่งที่ทำให้โมโหสุดๆ คือเสียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีผลงาน สิ่งที่ท่านผู้นำย้ำก็คือ รัฐบาลนี้แก้ไขปัญหาในทุกด้านและต่อยอดงานต่างๆ แต่ยังถูกโจมตีว่าไม่มีผลงานและไม่ทำอะไร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ว่ารัฐบาลจะมีที่มาแบบไหนก็ตาม คงไม่มีใครที่จะมาบอกกล่าวกับประชาชนว่า รัฐบาลนี้ไม่มีผลงานหรือไม่ได้ทำงานมาก ทำงานแค่พอดี
แต่สิ่งที่ทุกรัฐบาลซึ่งโพนทะนาผ่านช่องทางต่างๆ จะได้รับการพิสูจน์ว่า การทำมากหรือน้อยนั้นผลเป็นอย่างไรคือ เสียงตอบรับจากประชาชน หากคนอยู่ดีกินดี มีเงินในกระเป๋า เขาก็จะออกมาสรรเสริญเยินยอเอง ไม่ต้องไปเที่ยวเรียกร้องให้ใครมายอมรับ สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่ารัฐบาลใดทำสิ่งไหนไม่ได้ ต้องไม่ไปโทษว่าเป็นเพราะรัฐบาลที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าเหตุใดรัฐบาลทักษิณถึงได้รับการยอมรับ เพราะมีผลงานหลายอย่างเป็นที่ประจักษ์โดยไม่จำเป็นต้องไปเหยียบหัวรัฐบาลก่อนหน้าหรือกล่าวหาว่า ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน หากแต่มุ่งมั่นที่จะทำงานตามนโยบายให้สำเร็จ เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกปรามาสสารพัด แต่ผู้นำก็ไม่เคยตอบโต้ใดๆ ก้มหน้าทำงานจนถึงวันถูกยึดอำนาจ
ผิดกับบางรัฐบาลที่จะเห็นได้ว่าไปลอกเลียนแบบโครงการหรือนโยบายของพรรคการเมืองคู่แข่งมาทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจของประชาชนได้ นั่นเป็นเพราะผลแห่งการกระทำมันต่างกัน ดังนั้น แทนที่จะหงุดหงิด โมโหโกรธา ท่านผู้นำน่าจะทำใจให้สบายเหมือนอย่างที่ท่านเคยประกาศไว้ (หลายครั้งหลายหน) จะปรับเปลี่ยนความวู่วาม แล้วรอดูความสำเร็จจากสิ่งที่ได้ประกาศไว้ว่าทำมามากมาย
เพราะล่าสุดหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่งไปประกาศที่อีสาน พลังประชารัฐที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปมีผลชัดที่สุด พร้อมๆ กับย้ำว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังจะกลับมาสดใส จึงมองไม่เห็นเหตุที่ท่านผู้นำจะต้องอารมณ์บ่จอย การแก้ปัญหาของประเทศไม่ใช่แค่สั่งซ้ายหันขวาหันแล้วได้ทุกอย่าง จากที่ถนัดแต่ทุบโต๊ะแล้วต้องได้ ต้องหัดคอยให้เป็น ใจเย็นเข้าไว้ คำพระท่านบอกว่า ต้องรู้จักปล่อยวางในบางกรณี
จะว่าท่านไม่เข้าใจหลักธรรมคำสอนก็ไม่ใช่ เนื่องจากวันวานก็เพิ่งสอนเด็กที่เข้าพบในทำเนียบฯว่า การพูดจาต้องไม่บิดเบือน ไม่โกหก ต้องพูดความจริง เพราะหลักเบญจศีลว่าไว้ การพูดจาบิดเบือน พูดจาให้ร้าย โจรขโมยและการฆ่าคนตายต้องไม่มี ใครพูดจาโกหกบิดเบือนตกนรกทั้งหมด เมื่อยึดหลักเช่นนี้การที่คนกล่าวหาโจมตีรัฐบาลว่าไร้ผลงานเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง ท่านต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านยึดมั่น คนพวกนั้นมันโกหกเดี๋ยวก็ตกนรกหมกไหม้ไปเอง คิดแบบนี้ดีกว่าไหม