PF ดึงพันธมิตรพัฒนาที่ดินกรมธนารักษ์ในจ.ตราด-เชื่อผลงาน H2/59 ดีขึ้น
PF ดึงพันธมิตรพัฒนาที่ดินกรมธนารักษ์ในจ.ตราด-เชื่อผลงาน H2/59 ดีขึ้น
นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน สายงานลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการประเภท Mixed Use และให้บริการระบบสาธารณูปโภคบนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ซึ่งเปิดให้บริษัทเอกชนยื่นซองประกวดราคาใน 3 จังหวัดพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ คือ หนองคาย มุกดาหาร และ ตราด โดยบริษัทได้เข้าซื้อซองประกวดราคาเพื่อพัฒนาที่ดินในจังหวัดตราด
สำหรับรูปแบบการลงทุนบริษัทคงต้องมีการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบ ความเป็นไปได้ และมูลค่าการลงทุน โดยกำหนดยื่นซองประกวดราคาวันที่ 21 ก.ค.59 เพื่อให้กรมธนารักษ์พิจารณา
ส่วนการพัฒนาศูนย์การค้าแห่งใหม่ภายใต้ บมจ.วีรีเทล (WR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกและมีศักยภาพทางด้านการเงิน ซึ่งรูปแบบการทำธุรกิจร่วมกันบนความเป็นไปได้ทั้ง 2 แนวทาง คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนหรือการที่พันธมิตรเข้ามาถือหุ้นในบริษัท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายไตรมาส 2/59 หรือ ไตรมาส 3/59 ซึ่งโครงการที่จะร่วมกันพัฒนามี 3 ทำเล คือ รัชดาภิเษก รามอินทรา และศรีราชา
นายธีรธัชช์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 ทั้งยอดขายและรายได้ คาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1/59 เล็กน้อย โดยไตรมาส 1/59 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 4.79 พันล้านบาท มีรายได้อยู่ที่ 4.29 พันล้านบาท เนื่องจากหลังจากหมดมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมและค่าจดจำนองไปเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา เริ่มเห็นการชะลอตัวของการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการโอนที่เกิดขึ้น
ประกอบกับ ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นส่งผลทำให้เกิดการชะลอการตัดสินในซื้อจากความไม่มั่นใจของลูกค้าที่ รวมทั้งในไตรมาส 2/59 บริษัทมีการเปิดขายโครงการใหม่เพียง 1 โครงการ คือ Shophouse ABAC บางนา มูลค่าโครงการ 648 ล้านบาท ซึ่งไม่ส่งผลต่อยอดขายและรายได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะยังทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยยอดขายอยู่ที่ 1.7 หมื่ล้านบาท และรายได้ 2.15 หมื่นล้านบาท แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของบริษัทคาดว่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มียอดขายและยอดโอนมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี
นอกจากนั้น บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยวางแผนเปิดโครงการอีก 14 โครงการในครึ่งปีหลัง มูลค่าโครงการรวม 1.97 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 1.4 หมื่นล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.7 พันล้านบาท จากทั้งปีวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.17 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 7.22 พันล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 3.5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 60 จำนวน 3.75 พันล้านบาท ด้านอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 37% เพิ่มขึ้นจากปี 58 อยู่ที่ 30.38% เนื่องจากกำไรจากคอนโดมิเนียมได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยโครงการที่ให้มาร์จิ้นสูงเริ่มทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา
รวมทั้งในปีนี้บริษัทได้ทยอยปรับราคาขายโครงการใหม่เฉลี่ย 3-5% ตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่ดินที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทใช้งบซื้อที่ดินไปแล้วกว่า 1 พันล้านบาททั้งทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑลเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต และครึ่งปีหลังจะใช้งบส่วนที่เหลือราว 1.5 พันล้านบาทซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก จากทั้งปีนี้ตั้งงบไว้ที่ 3 พันล้านบาท
ขณะเดียวกับบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ที่สนใจซื้อที่ดินของบริษัททั้งในทำเลลาดพร้าว อ่อนนุช ร่มเกล้า และเชียงใหม่ เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่มีศักยภาพเข้ามาพัฒนาโครงการ โดยในไตรมาส 1/59 บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินแล้ว 47 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมีที่ดินเปล่าเพียงพอรองรับการพัฒนาโครงการในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยมีมูลค่าที่ดินเปล่าในมือ 1.4 พันล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังคงแผนการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ช่วงปลายปีนี้ ขนาดราว 1.8-2 พันล้านบาท
นายธีรธัชช์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในเดือน ต.ค.59 มูลค่า 2.4 พันล้านบาท โดยจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3/59 หรือไตรมาส 4/59 อายุหุ้นกู้ 2.5-4 ปี
ขณะที่ช่วงสิ้นเดือน พ.ค.นี้บริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดมูลค่า 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรก 1.7 พันล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 61 อัตราดอกเบี้ย 4.7%ต่อปี ชุดที่สอง 1.3 พันล้านบาท อายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 63 อัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี โดยอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BB+ กำหนดจองซื้อ 30 พ.ค.-1 มิ.ย.นี้ ซึ่งบริษัทจะนำเงินไปขยายธุรกิจ ชำระหนี้ และซื้อที่ดิน