TPBI ตรึงอัตรากำไรสุทธิปีนี้ 8.2% สูงกว่าปีก่อน เล็งสรุปซื้อกิจการ 1 ดีล
TPBI ตรึงอัตรากำไรสุทธิปีนี้ 8.2% สูงกว่าปีก่อน เล็งสรุปซื้อกิจการ 1 ดีล
นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ TPBI เปิดเผยว่า อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยทั้งปีคาดจะอยู่ใกล้เคียงช่วงไตรมาส 1/59 ที่ระดับ 8.2% ซึ่งสูงกว่า 7% ในปีก่อน เนื่องจากสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ค่อนข้างดี และค่าไฟฟ้าถูกลงหลังบริษัทลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซล่าร์รูฟ) ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 0.5 เมกะวัตต์ และในช่วงไตรมาส 3/59 กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เมกะวัตต์ สามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ราว 1 ล้านบาท/เดือน
ในส่วนของรายได้ปีนี้บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จาก 4.8 พันล้านบาทในปีก่อน โดยเป็นการเติบโตมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทถุงหูหิ้วและถุงขยะที่คาดว่าเติบโตได้ราว 5% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับบริโภคและอุปโภคเพื่อใช้ถนอมและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟิล์มลามิเนตและฟิล์มแบริเออร์ คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 59 ไว้ราว 300-400 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนขยายกำลังการผลิต แบ่งเป็นซื้อเครื่องจักรสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทถุงหูหิ้วและถุงขยะ ราว 100 ล้านบาท และที่เหลืออีกราว 200 ล้านบาท ลงทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับบริโภคและอุปโภคเพื่อใช้ถนอมและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟิล์มลามิเนตและฟิล์มแบริเออร์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อที่ดินขนาดหลาย 10 ไร่
สำหรับแผนระยะยาวบริษัทตั้งเป้าหมายระยะ 5 ปี (ปี 59-63) รายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตได้เท่าตัว โดยบริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับระยะ 2-3 ปี ไว้ 800 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับบริโภคและอุปโภคเพื่อใช้ถนอมและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟิล์มลามิเนตและฟิล์มแบริเออร์
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด โดยตั้งเป้าหมายที่จะสามารถจบดีลได้อย่างน้อย 1 แห่งภายในปีนี้ และตั้งงบลงทุนไว้เบื้องต้นราว 800 ล้านบาท แต่หากต้องใช้มากกว่านั้น บริษัทก็มีเงินทุนเพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.4 เท่า และยังมีเงินที่ได้จากการระดมทุนด้วยการขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อีกราว 1 พันล้านบาท