พาราสาวะถี อรชุน

ปรากฏการณ์อันเกิดกับ ธัมมชโย ที่สร้างขึ้นโดย ดีเอสไอ หลายฝ่ายมองว่า ถ้ามีการเดินตามกติกากฎหมายตามปกติอย่างระมัดระวัง กรณีนี้จะจบลงอย่างง่ายๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างต้องไม่ยืนกรานในสิ่งที่ตนมีความคิดหรืออคติฉาบทาอยู่ ต้องยอมรับว่าการอาพาธของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายย่อมไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับท่าทีของดีเอสไอที่จะต้องให้ผู้ต้องหาไปมอบตัวที่สำนักงานของตัวเองให้ได้


ปรากฏการณ์อันเกิดกับ ธัมมชโย ที่สร้างขึ้นโดย ดีเอสไอ หลายฝ่ายมองว่า ถ้ามีการเดินตามกติกากฎหมายตามปกติอย่างระมัดระวัง กรณีนี้จะจบลงอย่างง่ายๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างต้องไม่ยืนกรานในสิ่งที่ตนมีความคิดหรืออคติฉาบทาอยู่ ต้องยอมรับว่าการอาพาธของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายย่อมไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับท่าทีของดีเอสไอที่จะต้องให้ผู้ต้องหาไปมอบตัวที่สำนักงานของตัวเองให้ได้

สิ่งที่เห็นเป็นการใช้ความเชื่อ (ที่มีเบื้องหลัง) ของแต่ละฝ่ายมากำหนดเกม แต่สุดท้ายมันก็เดินต่อกันไม่ได้ จึงต้องเกิดการยอมถอยคนละก้าวพบกันครึ่งทาง ถามว่าแล้วอะไรคือความบอบช้ำ หนีไม่พ้นพระพุทธศาสนา แน่นอนว่ารายของธัมมชโยนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานแต่ก็ยังคงอยู่ได้โดยไม่มีอะไรมาทำให้ระคายผิว

จะด้วยเนื้อหาบุญที่สะสมมาหรืออะไรไม่ทราบ ทว่าสุดท้ายกลับมาตายน้ำตื้นด้วยการไปรับเงินที่โกงมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโดย ศุภชัย ศรีศุภอักษร จนเข้าข่ายรับของโจร เมื่อเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอเข้ามาดำเนินการย่อมที่จะหลีกเลี่ยงในการดำเนินคดีไม่พ้น เพียงแต่ว่าวิธีการที่ใช้ในการออกหมายเรียกจนกลายเป็นหมายจับนั้น มีแง่มุมที่นักกฎหมายตั้งข้อสังเกตว่ามุ่งเล่นเกมมากจนเกินไป

ท้ายที่สุด เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ใครผิดใครถูกศาลจะเป็นผู้ตัดสิน แต่ที่หลายคนเป็นห่วงก็คือ อย่าให้เรื่องนี้ถูกนำไปขยายผลกลายเป็นความเชื่อมโยงของกลุ่มใกล้ชิดผู้มีอำนาจที่มุ่งหวังจะโค่นล้มธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย เพื่อให้มีผลสั่นสะเทือนไปถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง วรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ผู้ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณะที่จะต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เพราะหากใช้เรื่องนี้โดยมีเป้าหมายให้กระบวนการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่มีปัญหา นั่นหมายความว่า กลุ่มคนที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจและคนห่มผ้าเหลืองที่ผู้มีอำนาจไปหมอบกราบให้เจิมหน้าผากก่อนหน้านั้น สามารถรวมหัวกันเขย่าวงการสงฆ์ให้สั่นสะเทือนได้

มากไปกว่านั้นหากทำสำเร็จเท่ากับว่านี่เป็นการสร้างความแตกแยกให้กับสงฆ์สองนิกายคือมหานิกายกับธรรมยุต ซึ่งการเล่นกับความเชื่อของคนนั้นเป็นสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ทั้งโลกได้เตือนไว้เหมือนกันว่าอย่าไปยุ่ง ตรงนี้ไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจได้ตระหนักหรือไม่ หรือมั่นใจว่ามีอำนาจตามมาตราวิเศษจึงไม่จำเป็นต้องสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

คำเตือนที่มีต่อผู้นำการรัฐประหารไม่ว่าจะชาติใดก็ตามโดยเฉพาะประเทศไทย หากเป็นเผด็จการโดยธรรม คนยังพอทำใจยอมรับกันได้และนั่นจะนำพาประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยจากภัยคุกคามได้ แต่ถ้าเป็นเผด็จการโดยพวกบวกเพื่อนพ้องพี่น้องร่วมรุ่น หมุนเวียนกันก้าวขึ้นสู่อำนาจก้าวสู่ตำแหน่ง มิหนำซ้ำ ยังแย่งกันหารับประทาน นั่นเท่ากับว่าจะทำให้บ้านเมืองเสียหายวายวอด

ความจริงประเด็นนี้ สุจิตต์ วงษ์เทศ เพิ่งเขียนบทความเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยมองว่า ฝูงคนดีที่ยกตัวเองว่าไม่ใช่นักการเมือง แล้วรวมหัวกันประณามคนอื่นทั่วไปและนักการเมืองว่าล้วนเป็นพวกคอร์รัปชั่นโกงบ้านกินเมือง แท้จริงแล้วฝูงคนดีเหล่านั้นทำเนียนทำแบ๊วไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองกำลังคอร์รัปชั่นอย่างคนดี อย่างผู้ดี เข้าตำรา “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” อะไรทำนองนั้น

ก่อนที่จะยกเอาบทความของ ผาสุก พงษ์ไพจิตร เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ “จากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ สู่การแสวงหาบัลลังก์”  ซึ่งมีข้อความสรุปตอนท้ายอย่างลึกซึ้งว่า ข้ออ้างที่ว่าพวกเขาปลอดการเมืองและไม่ใช่นักการเมือง ฟังไม่ขึ้นเลย พวกเขาอาจแค่กำลังปรับการเมืองให้เข้ากับพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่ได้เข้าไปคอร์รัปชั่น แต่ผลประโยชน์ เงินเดือนและชื่อเสียงที่มากับตำแหน่ง ก็นับว่ามหาศาลตามมาตรฐานสังคมไทย

นอกจากนั้น พวกเขายังจะได้อยู่ในเก้าอี้นานกว่านักเลือกตั้งเสียอีก อำนาจก็พิเศษกว่า ส่วนกระบวนการตรวจสอบก็แทบจะไม่มี การแสวงหาบัลลังก์จึงกลายเป็นแรงจูงใจชั้นเยี่ยม ต่อให้รัฐบาลทหารประสบความยุ่งยากทางการเมืองและเศรษฐกิจ บรรดาผู้แสวงหาตำแหน่งและองค์กรแต่งตั้งของพวกเขาจะยังคงอยู่สืบต่อไปเพราะรัฐธรรมนูญปกป้องพวกเขาไว้แล้ว

คุณธรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัยจำเป็นจะต้องปฏิบัติให้ได้ไม่ใช่แค่ท่องให้ขึ้นใจ นอกเหนือจากการป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นคนดี คนเสียสละ ไม่คดโกง จะเห็นได้ว่าสิ่งที่สังคมเกิดความคลางแคลงใจล่าสุดเกี่ยวกับโครงการขุดลอกคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกหรืออผศ.นั้น ยังไม่มีการอธิบายใดๆ ที่กระจ่างชัดจากผู้มีอำนาจ

โดยเฉพาะกรณีที่จังหวัดยโสธร มูลค่าโครงการ 1.9 ล้านบาทที่ อผศ.รับงานไป แต่ไปจ้างผู้รับเหมาช่วงแค่ 3 แสนบาท แล้วเนื้องานที่ออกมามันจะเป็นอย่างไร ส่วนต่างที่หายไป 1.6 ล้านบาทเข้ากระเป๋าใคร ถ้าจะใช้เหตุผลว่าเพื่อนำไปดูแลทหารผ่านศึกทั่วประเทศ เชื่อว่าทหารหาญเหล่านั้นคงไม่ยินดีที่จะรับเงินอันไม่สุจริตเช่นนี้

คงไม่ต่างจากการซื้ออาวุธของแต่ละกองทัพกันอย่างคึกคัก จน สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงต้องกระตุกกันแรงๆ ว่า สงครามสมัยใหม่ไม่ใช่การรบกันด้วยรถถัง เรือรบหรือเครื่องบินอีกแล้ว การลงทุนซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวจึงอาจมีความสำคัญน้อยลงในอนาคต แม้แต่การก่อการร้ายก็เปลี่ยนไป ใช้เพียงคนเดียวทำสงครามในรูปแบบระเบิดฆ่าตัวตาย

สงครามสมัยใหม่จึงใช้เทคโนโลยีทันสมัยและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ระดมซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แบบเดิมๆ สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือประสิทธิภาพของข่าวกรอง ที่หากมองย้อนกลับไปยังหลายเรื่องโดยเฉพาะกรณีใบเขียวจากอียูที่ทำให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หน้าแตกล่าสุดน่าจะเป็นภาพสะท้อนได้เป็นอย่างดี

สรุปคือ ความเป็นคนดี ผู้เสียสละนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะสิ่งที่จะยืนยันได้คือความสามารถในการบริหารและรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร เรื่องการทุจริตที่ยังมีอยู่ เรื่องความจำเป็นในการซื้ออาวุธทั้งๆที่ผู้มีอำนาจยอมรับว่าประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ เหล่านี้คือบทพิสูจน์ ต้องไม่ลืมยิ่งอยู่นานถ้าผลงานยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากจะสร้างความเบื่อหน่ายให้ประชาชนแล้ว บางเรื่องที่เปราะบางหากไปแตะก็อาจจะเป็นเหตุให้เกิดการลุกฮือและล้มผู้นำแม้จะมีอำนาจล้นฟ้าอย่างไรก็ตาม 

Back to top button