พาราสาวะถี อรชุน
มีปัญหาทุกเรื่องสำหรับกระบวนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ล่าสุด เป็นปมว่าด้วยเพลงรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิ์ของกกต. โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ผู้ประพันธ์เพลงที่ชื่อว่า “7 สิงหาประชามติร่วมใจ ประชาธิปไตยมั่นคง”เจตนาดูถูกคนภาคเหนือและภาคอีสาน ประมาณว่าโง่ดักดานปล่อยให้คนอื่นมาชักจูงได้
มีปัญหาทุกเรื่องสำหรับกระบวนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ล่าสุด เป็นปมว่าด้วยเพลงรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิ์ของกกต. โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ผู้ประพันธ์เพลงที่ชื่อว่า “7 สิงหาประชามติร่วมใจ ประชาธิปไตยมั่นคง”เจตนาดูถูกคนภาคเหนือและภาคอีสาน ประมาณว่าโง่ดักดานปล่อยให้คนอื่นมาชักจูงได้
ก่อนที่จะไปฟังคำอธิบายของคนแต่งเพลงนั้น ลองไปดูเนื้อหาส่วนที่เป็นประเด็นกันว่าเป็นไปอย่างที่มีเสียงวิจารณ์หรือไม่ “พี่น้องอีสานบ้านเฮา อย่าให้ใครเขาชี้ซ้ายชี้ขวา ใช้สติพิจารณา เนื้อหาถ้อยความหลักการสำคัญ ออกไปใช้เสียงใช้สิทธิ์ ร่วมรับผิดชอบบ้านเมืองนำกัน ให้ฮู้เขาฮู้เฮาเท่าทัน เฮาคนอีสานอย่าให้ไผมาตั๊วได้”
“ปักษ์ใต้คนใต้แหลงใต้ รักประชาธิปไตยรักความเสรี ไปลงประชามติ เป็นพลเมืองดีหน้าที่ของชาวไทย ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ ช่วยนำพาชาติให้เจริญก้าวไกล ดอกไม้ประชาธิปไตย หกสิบห้าล้านใจคนไทยบานสะพรั่ง”
“ปี้น้องชาวเหนือหมู่เฮา อย่าหื้อใครเขาชักจูงจี้นำ ต้องหมั่นเฮียนฮู้ติดตาม ศึกษาเนื้อความฮื้อมันกระจ่าง บ้านเมืองจะค้ำจะจุน รัฐธรรมนูญต้องเป็นที่ตั้ง หนึ่งเสียงหนึ่งใจหนึ่งพลัง ฮ่วมกันสรรค์สร้างบ้านเฮาเมืองเฮา”
คำชี้แจงจาก สัญญาลักษณ์ ดอนศรี ผู้แต่งเพลงดังกล่าวบอกว่า ตนเป็นนักแต่งเพลงและทีมงานของ ประยงค์ ชื่นเย็น แต่เพลงนี้โดยมีแนวคิดของเพลงรณรงค์ให้ไปใช้สิทธิ ตนเป็นคนบุรีรัมย์ การทำงานตรงนี้เข้าใจว่ามันละเอียดอ่อนพอสมควร เรื่องการเมือง ยืนยันว่าไม่เคยดูถูกภาคตัวเองหรือประชาชนภาคไหน เพราะมีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่ได้อยู่ข้างไหน
คำว่าชี้ซ้ายชี้ขวานั้น ต้องยอมรับว่าประชามติมันมีปัญหาคือ ฝ่ายหนึ่งไม่เอาด้วย ฝ่ายหนึ่งจะรับไม่รับ ฝ่ายหนึ่งให้ประชาชนรับ ฝ่ายหนึ่งให้ประชาชนไม่รับ คนที่อยู่ตรงกลางก็คือกกต. เนื้อหาของเพลงต้องการให้วิเคราะห์หลักการถ้อยความสำคัญก่อนที่จะตัดสินใจลงไป อย่าให้เขาชี้ซ้ายชี้ขวา ชี้ซ้ายชี้ขวาก็คือประชาชนอยู่ระหว่างเขาควาย ประชาชนอยู่ตรงกลาง การพิจารณาจึงสำคัญที่สุด
โดยสัญลักษณ์ย้ำว่า เมื่อประชาชนอยู่ท่ามกลางเขาควาย เจตจำนงของผู้แต่งก็ต้องการให้ประชาชนพิจารณาเนื้อหาหลักการถ้อยความสำคัญ ให้พิจารณาเอง อย่าให้ใครมาชี้ซ้ายชี้ขวา พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้รับโจทย์ว่าท่อนนั้นจะอยู่ตรงภาคไหน ในขณะที่ฝ่ายเห็นต่างอย่าง สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า ในฐานะคนอีสาน รู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อได้ฟังเนื้อเพลงนี้
คุณยกย่องคนใต้ว่ารักประชาธิปไตย รักความเสรี ร่วมสร้างประวัติศาสตร์นำอนาคตประเทศชาติอะไรแบบนี้ แล้วพูดถึงคนอีสาน คนเหนือเชิงสั่งสอน ดูแคลนว่าอย่าให้เขาหลอก อย่าให้เขาชี้นำ การปกป้องการเลือกตั้งอันเป็นกระบวนการที่ขาดไม่ได้ของระบบประชาธิปไตยของคนอีสาน คนเหนือ นอกจากไม่สามารถจะนับได้ว่ารักประชาธิปไตยแล้ว ยังถูกเหยียดว่านั่นเป็นเพียงถูกหลอก ถูกชี้นำอย่างนั้นหรือ
คำถามทิ้งทายที่ต้องขีดเส้นใต้จากสุรพศก็คือ อย่าให้เขาหลอก อย่าให้เขาชี้นำได้อีก จะกดเหยียดคนไทยด้วยกันเองไปถึงไหนกัน แน่นอนว่า ในประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องอ่อนไหว เพราะมันมีคนดีที่อ้างว่าตัวเองอยู่ในสังคมชั้นสูง มีการศึกษาเคยปรามาสไว้ว่า หนึ่งคะแนนเสียงของคนอีสานและคนเหนือนั้น ไม่เท่ากับหนึ่งคะแนนเสียงของคนกรุงเทพฯ
แต่คงไม่ต้องไปถามกับกกต.ในฐานะผู้จ้างวานให้แต่งเพลงและจ้างนักร้องมาร้องเพลง ถึงอย่างไรก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวทุกอย่างไม่ใช่เรื่องผิด ต้องเดินหน้าเผยแพร่กันต่อไป ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ก็บอกว่าไม่มีปัญหา ให้กกต.เปิดเพลงนี้ให้มากเผยแพร่ให้มากขึ้น เพื่อให้คนรู้ถึงทัศนคติแบบดูถูกเช่นนี้
แค่เพลงก็มีปัญหา เพราะต่อว่าคนเหนือกับคนอีสานเป็นคนโง่ ถูกหลอก ส่วนภาคใต้รักประชาธิปไตย เมื่อเป็นแบบนี้ย่อมหนีคำถามเรื่องของความเป็นกลางไม่พ้น เช่นเดียวกับการรณรงค์เรื่องของร่างรัฐธรรมนูญที่เข้าสู่กระบวนการประชามติ โดยที่ฝ่ายยกร่างและผู้เกี่ยวข้องสามารถอธิบายข้อดีได้อย่างสบายใจเฉิบ มิหนำซ้ำ ยังมีกฎหมายคุ้มครองอีกต่างหาก
แต่ปิดปากฝ่ายเห็นต่าง ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้แสดงความเห็น ในทางกลับกันมีคนกลุ่มหนึ่งเปิดศูนย์ปราบโกง เพื่อเฝ้าติดตามกระบวนการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญของผู้ที่ได้รับโอกาสว่าจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายประชามติหรือไม่ กลับถูกค่อนขอดต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่น่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะผู้ร่วมยึดอำนาจ จะได้ฟอกตัวหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ โดยมีคนตรวจสอบการโกงแล้วทุกอย่างผ่านไปอย่างโปร่งใส
เหมือนอย่างที่ตั้งข้อสังเกตไว้แต่ต้นนั่นแหละ เมื่อไม่มีเจตนาจะโกง เมื่อยืนยันทุกอย่างโปร่งใส ก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องไปโวยวายหรือแดกดันการตั้งศูนย์ปราบโกงดังว่า ด้านหนึ่งมันสะท้อนภาพของความไม่ชอบมาพากลบางประการ อีกด้านมันเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่ในอำนาจและถือธงนำในการสร้างความปรองดองนั้น ปราศจากอคติและวางตัวเป็นกลางหรือไม่
สมกับเป็นอดีตนักพูดอันดับต้นๆ ของเมืองไทยจริงๆ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ออกมาย้ำ จะเดินหน้าเปิดศูนย์ปราบโกงส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ เวลา 11 นาฬิกา โดยบอกว่าไม่รู้สึกโกรธเคืองที่บิ๊กตู่เห็นศูนย์ปราบโกงเป็นอากาศธาตุ เพราะเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์ แต่จะไม่ยินยอมให้ใครมองเสรีภาพของประชาชนเป็นเพียงความว่างเปล่า และจะเรียกร้องจนผู้มีอำนาจยอมรับความมีอยู่จริงของเสรีภาพ
ก่อนที่จะตบท้ายว่า รัฐบาลต้องรักษาภาวะผู้นำของนายกฯ โดยสั่งการเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกพื้นที่ ยุติการแทรกแซง กดดันประชาชนที่กำลังเตรียมการเปิดศูนย์ปราบโกงในทันที เพราะการไล่จับ ไล่คว้าอากาศธาตุ น่าจะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มเดียวคือ ผู้มีอาการทางประสาท ฟาดแบบนิ่มๆ แต่บาดลึกไปแทงใจดำใครบ้างหรือเปล่าคงไม่ต้องบอก หรือบางทีอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้ไปประกาศว่าตัวเองเป็นคนบ้า นี่แหละคือความจริงอันเจ็บปวดของประเทศไทยยามนี้