พาราสาวะถี อรชุน
เมื่อสัปดาห์ก่อน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เปรียบเปรยตัวเองและคณะเหมือนพระมหาชนกที่จะพาคนไทยว่ายไปให้ถึงฝั่ง ซึ่งฝั่งในที่นี้ของบิ๊กตู่คงเป็นเรื่องการปฏิรูปและวางยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่คำถามตัวโตที่เกิดขึ้น ก่อนจะปฏิรูปการสร้างความปรองดองที่เป็นหัวใจสำคัญนั้นทำสำเร็จแล้วหรือยัง คำตอบจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่บ่งชี้ได้ชัดเจนที่สุด
เมื่อสัปดาห์ก่อน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เปรียบเปรยตัวเองและคณะเหมือนพระมหาชนกที่จะพาคนไทยว่ายไปให้ถึงฝั่ง ซึ่งฝั่งในที่นี้ของบิ๊กตู่คงเป็นเรื่องการปฏิรูปและวางยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่คำถามตัวโตที่เกิดขึ้น ก่อนจะปฏิรูปการสร้างความปรองดองที่เป็นหัวใจสำคัญนั้นทำสำเร็จแล้วหรือยัง คำตอบจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่บ่งชี้ได้ชัดเจนที่สุด
แต่ตรงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง สิ่งสำคัญสำหรับองค์รัฏฐาธิปัตย์คือการกล้าที่จะนำตัวเองไปเปรียบกับพระมหาชนก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วต่างกันอย่างลิบลับ ไม่ใช่เพราะพระมหาชนกคือทศชาติชาดกหนึ่งอันหมายถึงพระพุทธเจ้าที่เราคนธรรมดาสามัญไม่ควรนำตัวเองไปเปรียบเทียบ หากแต่ในมุมของความมุมานะ อุตสาหะและความอดทนต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องนำมาเทียบเคียง
พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร 7 วัน 7 คืน โดยไม่บ่นสักคำ ก้มหน้าก้มตาว่ายด้วยความเพียร แต่บิ๊กตู่ตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศมากว่า 2 ปี ภาพปรากฏต่อสาธารณะชัดเจน การถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่บางเรื่องดูน่าจะไม่ใช่ประเด็นใหญ่โตอะไร แต่ท่านผู้นำก็ระเบิดอารมณ์ แสดงความโมโหโกรธา ชนิดไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
ยิ่งถ้าจำกันได้ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ยึดอำนาจมา ด้วยอารมณ์โมโหร้ายท่านผู้นำเคยประกาศอยู่หลายรอบว่าจะปรับเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งก็เคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มาจนถึงวันนี้ จะเห็นได้ว่าบิ๊กตู่จะเป็นเช่นนั้นอยู่ ดังนั้น การเปรียบเปรยที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่หลายคนได้ยินแล้ว ได้แต่ยิ้มที่มุมปาก
มากไปกว่านั้น หากเป็นพระมหาชนกจริง กรณีร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การทำประชามติ จะต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ปิดกั้นโอกาสอย่างที่เป็นอยู่ แม้กระทั่งมีการตั้งศูนย์ปราบโกงซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านผู้นำและลิ่วล้อกลับแสดงความไม่พอใจ หัวฟัดหัวเหวี่ยง จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยพากันสงสัย ในเมื่อไม่ตั้งใจโกง มีเจตนาอันบริสุทธิ์แล้วกลัวอะไร
ล่าสุดเป็นคิวของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาขู่แบบหนักหน่วง ห้ามนปช.ตั้งศูนย์ปราบโกงเด็ดขาด หากเตือนแล้วไม่ฟังจะใช้กฎหมายเล่นงาน ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นการปราบโกงที่รัฐบาลนี้ประกาศจุดยืนมาโดยตลอดแล้ว จะไปเอาผิดเรื่องอะไร หรือจะใช้กฎหมายด้านความมั่นคงไปจัดการ ถ้าเช่นนั้น ก็จะเกิดคำถามว่า การปราบโกงเป็นภัยต่อประเทศอย่างนั้นหรือ
ไม่เพียงเท่านั้น ตรรกะของรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงยังแสดงถึงอาการแถอย่างเห็นได้ชัด หากยอมให้นปช.ตั้งศูนย์ปราบโกง ต่อไปใครนึกจะตั้งอะไรก็ทำได้ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่า ถ้ามีบางพรรคการเมืองหรือบางกลุ่มการเมืองประกาศตั้งศูนย์เฉยเมยประชามติหรือศูนย์สนับสนุนการทำประชามติท่านจะห้ามเหมือนอย่างที่ทำอย่างขันแข็งเวลานี้หรือไม่
นี่คือท่าทีที่เรียกได้ว่าเป็นความย้อนแย้งของผู้มีอำนาจ ขณะที่ยืนยันจะปราบโกงและคนยกร่างรัฐธรรมนูญก็ยกยอปอปั้นสิ่งที่ตัวเองทำมาว่าเป็นกฎหมายสูงสุดฉบับปราบโกง แต่กลับกลัวศูนย์ปราบโกง มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากไม่ว่าจะโดยหลักใดก็ตาม ส่วนจะอ้างว่าเกรงว่าจะเป็นศูนย์ที่ตั้งมาเคลื่อนไหวทางการเมือง หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ใช้กฎหมายหรืออำนาจวิเศษที่มีอยู่มาจัดการก็ไม่น่าจะเสียหาย
มิหนำซ้ำ หากมีการใช้ศูนย์ดังกล่าวเพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือมีนัยแอบแฝงแล้วฝ่ายรัฐใช้อำนาจจัดการ เชื่อว่าจะมีคนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน ยกมือเชียร์เสียด้วยซ้ำไป เพราะคงไม่มีใครที่อยากจะเห็นความไม่สงบเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่พอผู้มีอำนาจออกอาการโดยใช้ข้อสันนิษฐานหรือความกลัวจนหัวหดไปเองเสียก่อน ความชอบธรรมมันจึงไม่เกิดขึ้น
ปัญหาว่าด้วยความขัดแย้งแตกแยกและยากที่จะสร้างความปรองดองได้นั้น 2 เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เป็นตัวพิสูจน์ได้ กรณีหนึ่งคือ การที่ผู้ช่วยนักบินสายการบินนกแอร์โพสต์ภาพ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะ กำลังโดยสารเครื่องบินกลับจากจังหวัดแพร่เข้ากรุงเทพฯ โดยมีบางข้อความโพสต์ขู่นำเครื่องบินโหม่งโลก เช่นนี้ถามว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและยุยง ปลุกปั่นหรือไม่
อีกกรณีคือ การที่ วิทยา แก้วภราดัย ไปประกาศแสดงตัวอย่างชัดเจนที่เวทีการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญสัญจรจังหวัดนครศรีธรรมราชหากนปช.ไม่รับร่างรธน. พวกตนในฐานะกปปส.จะรับเอง การกระทำในลักษณะนี้ถือเป็นการแบ่งข้างเลือกฝ่ายแล้วตรงตามเจตนารมณ์ของคสช.ที่เข้ามาเพื่อจะปฏิรูปสร้างความสามัคคีหรือไม่
ในทางตรงข้าม หากเวทีต่อไปที่จะจัดขึ้นที่เชียงใหม่และตามมาด้วยที่โคราช ถ้ามีคนลุกประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญบ้าง คณะผู้จัดงานหรือฝ่ายความมั่นคงจะปล่อยผ่านเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นที่นครศรีธรรมราชหรือไม่ เหล่านี้ต่างหากคือบทพิสูจน์ใจของคนที่ประกาศตัวว่าเป็นกรรมการ เข้ามาอย่างเป็นกลางไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่สุดท้ายผลแห่งการกระทำมันจะเป็นบทพิสูจน์ว่าที่พ่นน้ำลายกันมานั้น มันแค่วาทกรรมลวงโลกหรือความจริงที่สัมผัสจับต้องได้
สรุปแล้วจะให้เชื่อใครพลเอกประยุทธ์ยืนยันนปช.ตั้งศูนย์ปราบโกงได้แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย แต่พลเอกประวิตรสั่งห้ามตั้งเพราะผิดกฎหมาย ประเด็นนี้คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับจตุพรและชาวคณะที่จะเดินหน้าต่อ แต่ชวนให้เกิดปุจฉาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็ก เจตนาพูดให้ขัดกันเองหรือเป็นอาการปีนเกลียวของพี่น้องบูรพาพยัคฆ์
ประสาไก่เห็นตีนงู แกนนำนปช.จึงออกมาเตือนผู้มีอำนาจว่าระวังให้ดี ศัตรูตัวฉกาจของรัฏฐาธิปัตย์นั้นหาใช่คนเสื้อแดงไม่ หากแต่เป็นฝ่ายที่รอโอกาส ตรงนี้แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ นั่นหมายความว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีอะไรมาระคายเคืองและทำให้เก้าอี้ของบิ๊กตู่และชาวคณะสั่นคลอนได้ แต่ภายใต้แม่น้ำที่ไหลนิ่งดูสงบนั้น กระแสใต้น้ำกลับไหลเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัวยิ่ง สิ่งนี้ผู้มีอำนาจย่อมรู้ดีกว่าใครเพื่อน