น้ำมันดิบปิดลบ เหตุดอลล์แข็งค่า-วิตกอุปทานพุ่ง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการแก่อุตสาหกรรมน้ำมัน รายงานว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.8% ปิด (14 มิ.ย.) ที่ 48.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 52 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 49.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วงลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ทำให้นักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 3 แท่น สู่ระดับ 328 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐมีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานล้นตลาด
อย่างไรก็ตาม สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุในรายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือนมิ.ย.ว่า ภาวะตลาดน้ำมันโลกจะเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยอุปสงค์น้ำมันโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลงในเดือนที่แล้ว โดยเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013
ทั้งนี้ IEA ส่งสัญญาณว่า ภาวะน้ำมันล้นตลาดจะเบาบางลง โดยในเดือนพ.ค. ภาวะขัดข้องด้านการผลิตน้ำมันในกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) และนอกกลุ่มโอเปก ได้ทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลงเกือบ 800,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานดังกล่าวในเวลา 21.30 น.ตามเวลาไทยในวันนี้