ชู 9 หุ้นเด่นเหมาะเล่นเก็งกำไรสั้นSET แกว่งแคบ-ไร้ปัจจัยใหม่หนุน

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดและการลงประชามติของอังกฤษเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ขณะที่ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงอีกเช่นกัน


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.02 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.33 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ MSCI ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ประกาศเลื่อนการนำหุ้นจีนจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ซึ่งเป็นตลาดจดทะเบียนหุ้น A-share เข้ารวมในการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Markets Index

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดและการลงประชามติของอังกฤษเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ขณะที่ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงอีกเช่นกัน

สำหรับหุ้นเด่นเลือก BEAUTY, GLOBAL, THANI, KTC, CPALL, SPALI, TPCH, AMATA และ THAI

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ เพื่อรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการลงประชามติของอังกฤษเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้  ยังกดดันการลงทุนโดยรวมอยู่ อีกทั้งราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงเป็นวันที่ 4 แล้ว

อย่างไรก็ดี การที่ MSCI ประกาศที่จะยังไม่เอา A-Share ของจีนเข้ามารวมในการคำนวณดัชนี ตรงนี้น่าจะช่วยทำให้ผ่อนคลายความกังวลเรื่อง Fund Flow ไหลออกได้บ้างสำหรับตลาดหุ้นไทย ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวลง

พร้อมให้แนวรับ 1,415-1,420 จุด ส่วนแนวต้าน 1,430 ถัดไป 1,435-1,438 จุด

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มิ.ย.) SET น่าจะผันผวนอยู่ในกรอบจำกัด ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังปรับลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวมากกว่าคาด แม้ปัจจัยภายในประเทศจะเป็นบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ แต่ปัจจัยภายนอกยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะยุโรปที่ยังต้องใส่ QE ต่อเนื่อง แต่ก็คาดหวังว่าจะมี Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงบ้านเราที่ยังมีอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงกว่า อย่างไรก็ตามเรายังต้องติดตามผลประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ญี่ปุ่นและอังกฤษ ที่จะทราบผลในวันที่ 16 มิ.ย. นี้ แม้จะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มนำตลาดน่าจะยังเป็นหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก หุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะอ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงเมื่อคืนและในตลาดล่วงหน้าเช้านี้ หุ้นกลุ่มแบงก์รอผลประชุมปรับลดค่าธรรมเนียมวันนี้ หุ้นกลุ่มสื่อสารจะยังไปต่อเพราะไม่มีปัจจัยลบกดดัน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: Selective BUY/เน้นรอบซื้อขายทำกำไรระยะสั้น

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น: SPALI (มีสัญญาณฟื้นตัว ตามภาวะเศรษฐกิจ  PE ต่ำ ปันผล 5%)

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มิ.ย.) การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการทำประชามติ UK ออกจากสมาชิก EU ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ กดดันราคาน้ำมัน และตลาดหุ้นโลก และคาดว่าจะส่งผลให้ SET อยู่ในช่วงการ “พักฐาน” ต่อไป ขณะที่การประชุม FOMC คืนนี้ คาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 0.25-0.50% และยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่การประชุม BOJ ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้อาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

 “ซื้อ” Consumption Plays ตามแนวโน้มการบริโภคฟื้นตัว BEAUTY GLOBAL THANI (ธุรกิจปล่อยสินเชื่อรถบรรทุกฟื้นตัว ต้นทุนการเงินต่ำ และปันผลสูง 5-6%) KTC และ “เก็งกำไร” CPALL

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิด +0.44 % ปริมาณการซื้อขาย 4.5 หมื่น ลบ. สถาบันและพอร์ตโบรกเกอร์เป็นผู้ขายสุทธิหลัก  ส่วน Index Futures วานนี้ต่างชาติมีสถานะ Short จำนวน 4.8 พันสัญญาและขายสุทธิเล็กน้อยในตลาดพันธบัตร 609 ลบ. ซึ่งสะท้อนทิศทางการชะลอการลงทุน เพื่อรอดูผลการประชุม FOMC วันนี้และผลโหวต Brexit ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากอังกฤษตัดสินใจออกจาก EU น่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นรวมถึงค่าเงินยูโรผันผวนในทิศทางลงมากขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน วางแนวรับ 1,415 – 1,420 จุด และแนวต้าน 1,440 – 1,450 จุด แนะนำเทรดดิ้งระยะสั้นตามกรอบการลงทุน ประเด็นสำคัญวันนี้ติดตาม ธปท. สรุปโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่ และ กกพ. เปิดให้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าในแบบ Fit ประเภทชีวมวล ไม่เกิน 36 MW ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คาดส่งผลบวกต่อ TPCH

 

บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มิ.ย.) สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจัยหนุนคือ อัตราการทำกำไรของตลาดในปีนี้ยังขยายตัวที่ 6-7% แม้จะสูงกว่าภูมิภาค แต่ก็ไม่น่าจะหนุนให้ดัชนีขึ้นได้ต่อ เพราะระดับดัชนีที่ 1400-1430 จุด น่าจะสอดคล้องกับอัตราการการทำกำไรที่เป็นอยู่ ประเด็นจึงอยู่ที่ในครึ่งปีหลังจะมีกลุ่มไหนเป็นตัวหนุนกำไรของตลาด หากดูสถานการณ์ในขณะนี้ คงเป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ส่วนปัจจัยภายใน คือกลุ่มรับเหมา วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นผลจากเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะยังไม่เห็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนกำไรของตลาด แต่ประเด็นที่จะทำให้อัตราการทำกำไรของตลาดลงไปต่ำกว่าปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีเหมือนกัน

ดังนั้นอาจมองได้ว่าอัตราการทำกำไรที่เป็นอยู่ น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เพียงแต่รอปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุนกำไรของตลาดให้เพิ่มมากกว่านี้ หากจะมีมองน่าจะอยู่ในปลาย Q3/16 ซึ่งจะเป็นช่วงที่จะเห็นความชัดเจนของเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการผ่านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ค.) ที่อาจเห็นมุมมองของนักลงทุนต่างชาติต่อเศรษฐกิจไทย กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ตลาดยังผันผวนและมีแรงขายหุ้น มองว่าให้ รอดูสถานการณ์ (waits&see) ไปก่อนจนกว่าจะทราบผลการลงประชามติในอังกฤษ หรือเลือกหุ้นรายตัวที่ยังไม่แพงหรือหุ้นที่ถูกปรับเพิ่มกำไรต่อหุ้น

วันนี้มองตลาดจะปรับตัวลงหลังราคาน้ำมันและตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวลงติดต่อกันจากความกังวลเรื่องผลประชามติในอังกฤษ โดยมองแนวรับที่ 1420-1415 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1432-1436 จุด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร AMATA THAI

 

Back to top button