ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CPN ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม Stable
ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CPN ที่ระดับ "AA-" แนวโน้ม Stable
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้า ตลอดจนผลงานในการบริหารศูนย์การค้าคุณภาพสูง กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ รวมถึงนโยบายทางการเงินของบริษัทที่มีความระมัดระวัง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้รองรับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทในช่วงปี 2559-2561 ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของศูนย์การค้าเอาไว้ได้ แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาวินัยทางการเงินในการดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1 เท่าได้
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากการขยายธุรกิจทำให้สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น
บริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 27% รองลงมาคือ บริษัท เซ็นทรัล โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วน 26% การเป็นสมาชิกในเครือเซ็นทรัลทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีร้านค้าหลักในเครือจำนวนมากภายในศูนย์การค้าของบริษัทซึ่งดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ณ เดือนมีนาคม 2559 บริษัทเป็นผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าจำนวน 29 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และในจังหวัดสำคัญ โดยมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1.59 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทคงความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารศูนย์การค้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ค้าปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมดแล้ว บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึงประมาณ 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการมีอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับสูงและรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าเดิมที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการเช่าศูนย์การค้าโดยเฉลี่ยที่ 93% ณ เดือนมีนาคม 2559 ศูนย์การค้าใหม่ซึ่งได้แก่ เซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต 1 เซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต และเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ มีอัตราการเช่าพื้นที่ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 เท่ากับ 94% 95% 92% และ 81% ตามลำดับ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนเป็น 22,231 ล้านบาทในปี 2558 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 รายได้ค่าเช่าและค่าบริการเติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6,213 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่หลายแห่งและรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าเดิมที่เติบโต 2% ในปี 2558 และในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 25,000-30,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะมีจำนวนศูนย์การค้าทั้งหมด 36 แห่งภายในปี 2561
อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมของบริษัทเท่ากับ 51%-54% ในช่วงปี 2556-2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 65% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นได้รับแรงหนุนมาจากความสามารถในการปรับขึ้นอัตราค่าเช่า การควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น แม้ว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับสูงกว่า 50% เอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
อัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเท่ากับ 44% ณ เดือนธันวาคม 2558 และ 42% ณ เดือนมีนาคม 2559 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วเท่ากับ 32% ในปี 2558 และ 34% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2559 ได้รับแรงหนุนจากเงินสดในมือจำนวน 2,300 ล้านบาท เงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 3,100 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 8,100 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะมีความต้องการใช้เงินลงทุนจำนวนมากถึง 16,000-17,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2561 แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 55% ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดอยู่ที่ระดับ 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปี