LH โตต่อเนื่อง
หุ้นอสังหาฯ เพื่อขายขนาดใหญ่ ใครๆ ต่างก็ยังคงนึกถึง LH ซึ่งชื่นชอบในความชัดเจนของกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 –ครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีโอกาสเติบโตได้สูงจากยอดขายรอรับรู้รายได้ทีหนุนรายได้อสังหาฯที่เป็นสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทก็ว่าได้
–คุณค่าบริษัท–
หุ้นอสังหาฯ เพื่อขายขนาดใหญ่ ใครๆ ต่างก็ยังคงนึกถึง บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือLH ซึ่งชื่นชอบในความชัดเจนของกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 –ครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีโอกาสเติบโตได้สูงจากยอดขายรอรับรู้รายได้ทีหนุนรายได้อสังหาฯที่เป็นสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทก็ว่าได้
โดยยอดขายรอรับรู้รายได้ทั้งหมดรับประกันประมาณการรายได้จากการขาย อสังหาฯปี 2559 ที่ 53% และคิดเป็น 37% สำหรับปี 2560 เนื่องจากธุรกิจแนวราบของ LH เป็นกลยุทธ์บ้านสร้างเสร็จก่อนขาย (prebuilt) ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีความชัดเจนของรายได้น้อยกว่าธุรกิจแบบขายก่อนสร้าง (Presales) โดยความชัดเจนของกำไรครึ่งหลัง 2559-2560 บริษัทมี 5 คอนโดที่มูลค่าโครงการค่อนข้างสูงถึงกำหนดการเริ่มโอน
อันได้แก่ โครงการ The Room สาทร 11 เริ่มโอนในไตรมาส 3 ปี 59 (มูลค่าโครงการรวม 1.9 พันล้านบาท ยอดจอง 33%), โครงการ 333 Riverside ในไตรมาส 4 ปี 59 (มูลค่าโครงการ 7 พันล้านบาท ยอดจอง 94%), The Bangkok สาทร ในไตรมาส 1 ปี 60 (มูลค่าโครงการ 7.5 พันล้านบาท ยอดจอง 62%), The Room เจริญกรุง ในไตรมาส 2 ปี 60 (มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ยอดจอง 46%) และ The Key เจริญราช ในไตรมาส 3 ปี 60 (มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท ยอดจอง 39%)
นอกจากนี้ ประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมในส่วนของยอดจองซื้อโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบสำหรับปี 2559 ที่ 21 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเติบโตเพียง 4% ทำให้เราเห็นโอกาสที่บริษัทจะสร้างยอดจองซื้อโครงการแนวราบได้ดีกว่าเป้าหมายเนื่องจากยอดจองซื้อจริงที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 ปี 59 นั้นมีอัตราการเติบโตจริงถึง 16% และคาดว่าจะเติบโตอีก 15-20% ในช่วงไตรมาส 2 ปี 59-3 ปี 59 จากแผนการเปิดโครงการแนวราบที่เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงไตรมาส 1 ปี 59 มีมูลค่าเพียง 1.3 พันล้านบาท (1 โครงการ) แต่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ปี 59 เป็น 2.9 พันล้านบาท (2 โครงการ), ไตรมาส 3 ปี 59 เป็น 4.6 พันล้านบาท (3 โครงการ) และไตรมาส 4 ปี 59 เป็น 7.3 พันล้านบาท (4 โครงการ) ที่สำคัญการที่โครงการแนวราบอาจมีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดนั้นจะส่งผลต่อโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายมีแนวโน้มสูงกว่าที่คาดการณ์ได้ โดยปัจจุบันคาดการอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย แบบอนุรักษ์นิยมโดยคาดลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 32.7% ในปี 2559 เพื่อสะท้อนรายได้ที่มาจากคอนโดที่เพิ่มขึ้น โดยปกติ
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 7,922.59 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,845.34 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและรายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,995.52 ล้านบาท หรือ 0.17 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,345.33 ล้านบาท หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น
ที่สำคัญ ด้านบัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.นายอนันต์ อัศวโภคิน 2,859,167,547 หุ้น 24.29%
2.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 2,036,987,036 หุ้น 17.30%
3.GIC PRIVATE LIMITED 1,932,798,432 หุ้น 16.42%
4.บริษัท เมย์แลนด์ จำกัด 676,289,269 หุ้น 5.74%
5.CHASE NOMINEES LIMITED 632,879,239 หุ้น 5.38%
รายชื่อกรรมการ
1.นาย อนันต์ อัศวโภคิน ประธานคณะกรรมการ
2.นาย อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร
3.นาย อดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ
4.นาย นพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการผู้จัดการ
5.นาย นพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการ