KOOL:กูรูส่องกำไรปีนี้โตเกือบ 800%ชูหุ้น Growth Stock”ซื้อ”เป้า3.3 บ.

KOOL:คาดกำไรสุทธิไตรมาส2/59 ทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็น 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 222%เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ 60% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดกำไรปี 59 ที่ 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 800% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยคาดผลการดำเนินงานงวด 2H16 จะดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัดระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5ก.ค.) ว่าบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOLคาดกำไรสุทธิ ไตรมาส2/59 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เป็น 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 222%เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ 60% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. สภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้ความต้องการพัดลมไอเย็นและพัดลมไอน้ำเพิ่มขึ้นมาก, 2. การเติบโตของช่องทางการขายผ่าน Modern Trade ได้แก่ โฮมโปร, แม็คโคร, บิ๊กซีจัมโบ้, เมกาโฮม และไทวัสดุ และที่สำคัญตั้งแต่เดือน มี.ค.ปีนี้ เริ่มมีการขายผ่านเทสโก้ โลตัส 3. ในปีนี้ KOOL เริ่มทำการตลาดร่วมกับ SINGER เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า ซึ่งจะช่วยเจาะตลาดรากหญ้าที่ KOOL ยังเข้าไม่ถึง 4. แนวโน้มตลาดส่งออกยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่ม AEC และ 5. การควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้เราคาดว่ารายได้ใน ไตรมาส2/59 เพิ่มขึ้นโดดเด่น 100%เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ 52% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 451 ล้านบาท รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิที่ดีขึ้น

งวดครึ่งหลังปี 59 ปรับกลยุทธ์เร่งการขายตลาดต่างประเทศที่เข้าสู่ฤดูร้อน และรุกการขายเข้าโรงงานอุตสาหกรรม / คาดปี 59 กำไรเติบโตเกือบ 800%

คาดว่าผลการดำเนินงานในงวดครึ่งหลังปี 59 จะไม่แย่เหมือนช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเข้าสู่ช่วงฤดูฝนทำให้การขายผลิตภัณฑ์ทำความเย็นในประเทศเริ่มชะลอตัว

 อย่างไรก็ตาม KOOL ได้มีการปรับกลยุทธ์ใหม่โดยจะเน้นไปขายในต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ได้แก่ ประเทศในแถบอเมริกาใต้, แอฟริกาใต้ และออสเตรเลีย เป็นต้น รวมทั้งการเร่งบุกตลาดพัดลมอุตสาหกรรมที่ยังมีความต้องการใช้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งนี้ เราคาดกำไรสุทธิปี 2016 จะอยู่ที่ 72 ล้านบาท โดดเด่นทำสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้นเกือบ 800% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  

ภาพรวมรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 41% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้ายังมีโอกาสที่รายได้จะเติบโตในระดับดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง จากความนิยมพัดลมไอเย็นที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากจุดเด่นของตัวสินค้า, การเติบโตของช่องทางการขายผ่าน Modern Trade, การเริ่มมีคู่แข่งที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในตลาดพัดลมเข้ามาแข่งขันจะทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น, แผนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งยังจะมีผลช่วยลดความเสี่ยงของผลการดำเนินงานในช่วง low season และแผนการขยายรายได้จาก ingreen ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KOOL ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการระบบโอโซน

ประเมินราคาเหมาะสมของ KOOL ปีนี้ที่ 3.30 บาท ด้วย PER 22 เท่า อิงค่าเฉลี่ย PER กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน + 1 SD โดยให้ Premium จากกลุ่ม เนื่องจากแนวโน้มกำไรสุทธิที่คาดว่าจะดีกว่ากลุ่ม โดยเราประเมินกำไรสุทธิจะเติบโตระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ปัจจุบันราคาหุ้นคิดเป็น PEG ระดับไม่แพงเพียง 0.61 เท่า ยังมี Upside ถึง 35% แนะนำ ซื้อ

Back to top button