AF มั่นใจพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 5-10% เพิ่มพันธมิตร-ขยายฐานลูกค้าภาครัฐ
AF มั่นใจพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 5-10% เพิ่มพันธมิตร-ขยายฐานลูกค้าภาครัฐ
นายสามชัย เบญจปฐมรงค์ กรรมการ บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AF เปิดเผยว่า พอร์ตสินเชื่อปีนี้จะเติบไตได้ 5-10% จากปีก่อนที่มีพอร์ตสินเชื่อคงค้าง 1.94 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ากลุ่มค้าปลีก 30-40%, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ 30-40% ที่เหลือเป็นกลุ่มอื่น ๆ รวมถึงจากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม
โดยบริษัทฯจะมีการเพิ่มกลุ่มลูกค้าภาครัฐ เช่น กลุ่มโทรคมนาคมที่อยู่ระหว่างการขยายโครงข่าย 3G และ 4G กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงกลุ่มที่มีการก่อสร้างท่อบาดาล เป็นต้น โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าในภาครัฐยังเล็กน้อยไม่ถึง 5 % แค่คาดว่าในปี 61 จะเพิ่มเป็น 10 % สอดคล้องกับการลงทุนของภาครัฐที่ออกมาจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพของลูกค้าและลูกหนี้ ตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รวมไปถึงความกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่เป็นลูกค้าหลัก โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการจัดทำระบบ E-Factoring เพื่อให้สร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้าและลูกหนี้ โดยระบบดังกล่าวจะทำให้บริการเงินเร็วขึ้น ส่งผลให้รอบการชำระเงินดีขึ้น คาดว่าสามารถเปิดใช้งานได้ภายในปีนี้
สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท และมีรายได้รวม 91 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิทั้งปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 28% ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ 27.89% โดยจะเน้นเรื่องคุณภาพของลูกค้าและลูกหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้มีปัญหาเพิ่มขึ้น และยังมีการบริหารจัดการต้นทุนให้มีต้นทุนที่ต่ำลง ส่งผลบวกต่อความสามารถในการทำกำไร
นายสามชัย กล่าวว่า จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุริกิจขยายฐานลูกค้าทั้งเก่าและใหม่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดได้มีการร่วมมือกับ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เพื่อให้บริการปล่อยสินเชื่อแฟคตอริ่งให้กัลกลุ่ม Supplier ของ FPI ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และจะมาช่วยเสริมสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯจะมีการเซ็นสัญญาร่วมมือทางธุรกิจ กับพันธมิตรในตลาด(mai ) อีก 3-4 ราย
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงแผน3 ปี (ปี 59-61) จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)เพิ่มขึ้นเป็น 15% หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีวอลุ่มอยู่ที่ระดับ 1.94 หมื่นล้านบาท สำหรับมูลค่าตลาดรวมในปีก่อนอยู่ที่ 1.72 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 10 % คาดว่าสิ้นปีน่าจะคงอยู่ในระดับดังกล่าว
นายสามชัย ยอมรับว่า บริษัทมีความกังวลเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของบริษัท ซึ่งยังต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่บริษัทฯยังมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตได้ตามที่คาดการณ์ไว้