EPCO เลื่อนนำบ.ย่อย “อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เข้าตลาดเป็นปี 60 จากเดิมปีนี้

EPCO เลื่อนนำบริษัทย่อย “อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เข้าเทรดเป็นปี 60 จากเดิมปีนี้ พร้อมตั้งเป้าในปี 61 มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 600MW


นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO เปิดเผยว่า บริษัทเลื่อนการนำบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP ซึ่งเดิมคือ บริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นภายในปี 60 จากเดิมที่คาดจะเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท EP มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วรวมจำนวน 11 โครงการ มีกำลังการผลิตในประเทศจำนวน 16.5MW และที่ญี่ปุ่นกำลังก่อสร้าง 12MW คาดว่าจะ COD ได้ใน ต.ค.59 และอยู่ระหว่างกำลังพัฒนาโครงการในญี่ปุ่นอีก 25-30MW

โดยล่าสุด ที่ประชุมบอร์ด ครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.59 ได้มีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาการเข้าทำรายการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ในสัดส่วน 49.50% ของ บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 120MW และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 30 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในปัจจุบัน PPTC ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.59 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้ทำรายการเข้าซื้อหุ้นสามัญทางอ้อม ในสัดส่วน 30% ของ บริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 240MW และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 60 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จและเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ให้กับกฟผ. ได้ใน Q4/59

สำหรับมูลค่าการลงทุนทั้ง 2 โครงการอยู่ที่ 2,649.68 ล้านบาท ลงทุนผ่าน EP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EPCO โดยเงินที่ใช้สำหรับการลงทุนครั้งนี้ จะมาจากเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนของ EP จำนวน 750 ล้านบาท รวมถึงการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท และ/หรือ EP โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ EPCO เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาการเข้าซื้อสินทรัพย์ในวันที่ 19 ก.ย. 2559 นี้

“มั่นใจว่าการเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมและสร้างความเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไรและกระแสเงินสดกลับมายังบริษัทในระยะเวลาอันรวดเร็ว สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว และจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ กำลังการผลิต 360MW ในครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 425MW ก่อนที่จะนำบริษัท EP เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ภายในปี 60 นี้ และวางเป้าภายในปี 61 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 600MW”นายยุทธ กล่าว

Back to top button