MALEE มั่นใจยอดขายทั้งปีโต 20% ตามเป้า-ดันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 38% จากเดิม 36%
MALEE มั่นใจยอดขายทั้งปีโต 20% ตามเป้า พร้อมดันสัดส่วนรายได้ส่งออกเพิ่มเป็น 38% จากเดิม 36%
นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจปีนี้ยอดขายโต 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 5,512.41 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 2/59 ผลประกอบการทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจตราสินค้าของบริษัท (Branded Business: Brand)ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 36% และในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 37-38% แบ่งเป็น กัมพูชา 27% ฟิลิปปินส์ 26% จีน 17% ลาว 4% เมียนมา 3% และอื่น 23%
“ปีนี้เราค่อนข้างมั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/59 ที่ผ่านมาผลประกอบการทำสถิติสูงสุดใหม่ และในช่วงที่เหลือเชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่น้ำผลไม้ 100% ผ่านแคมเปญ “The Caring Message” ความห่วงใยจากใจเกษตรกรไทยในการดูแลผลไม้อย่างดีตั้งแต่สวนถึงมือผู้บริโภค โดยกระแสตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี”นางสาวรุ่งฉัตร กล่าว
ทั้งนี้ จากกระแสรักสุขภาพที่มาแรงในขณะนี้สนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นสินค้าขายดีของบริษัท เป็นที่น่าสนใจของผู้บริโภค ซึ่งในปีนี้ราคามะพร้าวปรับขึ้นจากลูกละ 8-9 บาท เป็น 22-25 บาท อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้กังวล เพราะมีการดูแลต้นทุน จึงไม่กระทบต่ออัตราการทำกำไร ซึ่งสัดส่วนยอดขายจากน้ำมะพร้าวคิดเป็น 20% ของยอดขายรวม ขณะที่บริษัทค่อนข้างมั่นใจในจัดการวัตถุดิบ โดยมีวิธีการจัดการที่เป็นพิเศษด้วยชำนาญ เพราะบริษัทเติบโตมาจากธุรกิจด้านผลไม้
นายไพฑูรย์ เอี่ยมศิริกุลมิตร เลขานุการ MALEE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าภายในปี 61 อัตรากำไรสุทธิจะสูงขึ้นไปเป็นตัวเลข 2 หลัก จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.61% สูงกว่าปีก่อนที่ 6% และอัตรากำไรสุทธิทั้งปีจะอยู่ที่ 7-8% โดยบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น และปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดระเบียบเครื่องจักรในโรงงาน โดยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่บางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควบคุมต้นทุนขายและบริหาร มีเป้าหมายจะคุมต้นทุนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังมีการปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายลงเหลือ 15.2% จากปีก่อนที่ 18.2%
ขณะที่บริษัทยังคงแผนระยะยาวที่จะมีรายได้ขึ้นแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 61 จากการเติบโตทั้งยอดขายในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้กังวลเรื่องกำลังการผลิต เพราะหากเครื่องจักรทุกตัวเดินเต็มกำลังการผลิตจะรองรับยอดขายดังกล่าวได้