ANAN มั่นใจรายได้ปีนี้โตแตะ 1.56 หมื่นลบ.-ตุน Backlog 3.85 หมื่นลบ.

ANAN มั่นใจรายได้ปีนี้โตแตะ 1.56 หมื่นลบ.-ตุน Backlog 3.85 หมื่นลบ. ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 61 คาดสรุปแผนงานพัฒนา 5 โครงการร่วมทุนพันธมิตรญี่ปุ่น มูลค่ารวม 1.5 หมื่นลบ. ในพ.ย.นี้-เปิดตัวปี 60


นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจรายได้ในปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.56 หมื่นล้านบาท จากครึ่งแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5.48 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีการรอรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) อีกราว 1.2 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 3.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 61

โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการใหม่ร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด อีก 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าทั้งหมด คาดว่าจะได้ข้อสรุปของแผนงานดังกล่าวในช่วงเดือน พ.ย.นี้ และจะทยอยเปิดตัวในช่วงปี 60

สำหรับยอดขายในปัจจุบันทำได้แล้ว 1.43 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย เพราะในช่วงไตรมาส 4/59 จะยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ประกอบกับโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการขาย รวมทั้งโครงการใหม่ 2 โครงการที่เปิดขายในช่วงต้นเดือน ก.ย.ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก มูลค่า 3.24 พันล้านบาท สามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 70% และโครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 มูลค่า 875 ล้านบาท สามารถสร้างยอดขายไปแล้วเกือบ 90% และจะยังสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

อีกทั้ง บริษัทเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาส 4/59 โดยการจัดงาน “ANANDA URBAN PULSE” ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. 59 ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้แนวคิด “SHIFT TO A NEW PARADIGM OF LIVING” เพื่อนำเสนอบทบาทใหม่ของการใช้ชีวิตสำหรับคนเมือง โดยการนำเสนอนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาผสมผสานกับการใช้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งบริษัทได้นำโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพติดรถไฟฟ้ากว่า 14 โครงการทั่วกรุงเทพฯ มานำเสนอซึ่งเป็นการส่งเสริมการขายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า พร้อมกับข้อเสนอพิเศษเมื่อจองภายในงานดังกล่าว

ขณะที่แผนงานในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 4/59 อีกทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่าโครงการวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน 2 โครงการ คือ โครงการ ไอดีโอ สุขุมวิท 93 มูลค่า 6.07 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท และโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 มูลค่า 2.28 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 5.19 ล้านบาท

รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนาเองจำนวน 2 โครงการ คือ โครงการ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร มูลค่า 2.51 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท และโครงการ ยูนิโอ นิด้า-เสรีไทย มูลค่า 932 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 9.5 แสนบาท

อีกทั้ง ยังมีโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่อีก 1 โครงการ มูลค่าราว 1 พันล้านบาท ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงเดือน พ.ย.นี้ โดยในปีนี้บริษัทจะสามารถเปิดโครงการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งครึ่งแรกบริษัทมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 5.4 พันล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไนปี 60 และ 61 จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยจะมีรายได้ในปี 60 และ 61 อยู่ที่ 3.02 หมื่นล้านบาท และ 4.23 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ บริษัทมองการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีทิศทางที่ดี จากการที่ภาครัฐได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าซึ่งคาดว่าจะขยายเส้นทางจากปัจจุบันที่มีอยู่ 81 สถานี เป็น 316 สถานี ภายในปี 79 ทำให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนมองว่าในปัจจุบันมีอัตราที่ลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้บริษัทคาดการณ์ว่าในปีนี้และไนอนาคตภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะมีอัตราการเติบโตได้ในทิศทางที่ดี

ด้าน มร.อะกิฮิโกะ ฟูนาโอะ Excecutive Manageing Officer บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย โดยปัจจุบันได้ตั้งสำนักงานในนาม “มิตซุยฟูโดซัง เอเชีย แบงคอก”เนื่องจากมีความสนใจลงทุนเพิ่มในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นที่นอกเหนือจากที่อยู่อาศัย ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้าประเภทเอาท์เล็ต และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ในประเทศไทย

เนื่องจากมองว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของการกระจายสินค้า และศูนย์กลางของแหล่งช้อปปิ้งในอาเซียน โดยการลงทุนเพิ่มเติมนั้นอาจเป็นการร่วมลงทุนกับบริษัทในไทย หากมีการร่วมทุนเพื่อการลงทุนในโครงการอื่นๆ ที่บริษัทมีความต้องการและเห็นโอกาสที่ดีในการลงทุนเพิ่มก็มองการร่วมทุนกับ ANAN เป็นรายแรก เพราะบริษัทและ ANAN ได้ร่วมทุนกันมาแล้ว 3 ปี และรู้จักกันดีในการร่วมทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยไนประเทศไทย

นอกจากนี้ อาจจะร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยรายอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศไปแล้วทั้งหมด 8 ประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯและอังกฤษอยู่ที่ 70-80% สัดส่วนการลงทุนในไทยและเอเชียอยู่ที่ 20-30%             

Back to top button