TACC บวกเกือบ 5% โบรกฯ มองกำไร Q4/59 พุ่ง หลังเข้าไฮซีซั่น

TACC บวกเกือบ 5% ล่าสุด ณ เวลา 15.04 น. อยู่ที่ 9.35 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 4.47% สูงสุดที่ 9.40บาท ต่ำสุดที่ 8.90บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 95.56ล้านบาท ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ โดยมองกำไร Q4/59 พุ่ง หลังเข้าช่วงไฮซีซั่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ล่าสุด ณ เวลา 15.04 น. อยู่ที่ 9.35 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 4.47% สูงสุดที่ 9.40บาท ต่ำสุดที่ 8.90บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 95.56ล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.51%

TACC1910 

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)  ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ TACC หลังคาดกำไรสุทธิในไตรมาส 3/59 จะอยู่ที่ 29 ล้านบาท เติบโตกว่า 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาทำให้มีอัพไซด์ (Upside) เพิ่มขึ้น

โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/59 ยังคงเติบโตได้ตามการขยายสาขาของร้านสะดวกซื้อ 7-11 และจากการติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนอัตโนมัติ (Vending Machine) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทสามารถขายผงกาแฟร้อนได้มากขึ้นตามมาด้วย จึงส่งผลให้มียอดขายต่อสาขาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 27,000 บาท ต่อไตรมาสต่อสาขา หรือเพิ่มขึ้น 1.4% จากไตรมาสก่อน

อีกทั้ง บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 31% หลังมียอดขายผงกาแฟร้อนซึ่งเป็นสินค้าที่ค่อนข้างมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่บริษัทได้มีการเข้าไปติดตั้งเต็มรูปแบบ 100% แล้วพบว่ามียอดขายต่อวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากในไตรมาส 1/59 ที่มียอดขาย 27 แก้วต่อวัน เป็น 35 แก้วต่อวันในไตรมาส 2/59 ขณะนี้ทางบริษัทก็ยังคงเร่งติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนอัตโนมัติ ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีจะติดตั้งได้ครบ 500-500 สาขา จากไตรมาส 3/59 ที่มีอยู่ 280 สาขา

ขณะที่ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้น การรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างโดนัทและสินค้าในกลุ่ม Sanrio ซึ่งได้รับการสนับสนุนที่ดีจากร้าน 7-11 รวมทั้งยังได้รับผลดีจากแผนการขยายสาขาของ 7-11 อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินภาพรวมทั้งปี 2559 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2560 กำไรสุทธิจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้อีก 34% อยู่ที่ระดับ 133 ล้านบาท พร้อมทั้งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้ดีในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยได้ปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” เนื่องจากราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาจนทำให้ upside เพิ่มขึ้นจากราคาเหมาะสมในปี 2560 ที่ 10.30 บาท อิง P/E ปี 2560 ที่ 1.14 เท่าตามค่าเฉลี่ยกลุ่มเครื่องดื่ม

Back to top button