KAMART บวกเกือบ 5% ลุ้นผลประกอบการ Q3/59 โตกระฉูด

KAMART บวกเกือบ 5% ลุ้นผลประกอบการ Q3/59 โตกระฉูด ล่าสุด ณ เวลา 15.37 น. ราคาอยู่ที่ 13.00 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 4.84% สูงสุดที่ 13.10 บาท ต่ำสุดที่ 12.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 88.00 ล้านบาท โบรกฯ แนะ “ซื้อ” ชูเป้า 15.90 บ. หลังรุกธุรกิจเครื่องสำอางเต็มตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ณ เวลา 15.37 น. ราคาอยู่ที่ 13.00 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 4.84% สูงสุดที่ 13.10 บาท ต่ำสุดที่ 12.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 88.00 ล้านบาท

KAMART20161021

ด้านบล. เออีซี ระบุว่าในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” KAMART พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 15.90 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการมุ่งเน้นธุรกิจเครื่องสำอางเต็มตัว หลังจากขาย บริษัท มายบัส จำกัด ออกไป ประกอบกับทิศทางอุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีแนวโน้มโตสดใส อีกทั้งยังมีอัพไซด์ (Upside) สูงถึง 30.32% (ราคาหุ้น ณ วันที่ 17 ต.ค.59 ที่ 12.20 บาท) และคาดให้อัตราผลตอบแทนของเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยปีละ 3%

ขณะที่ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/59 น่าจะมีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท เติบโต 69.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ 37.89 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการพิเศษหนี้สงสัยจะสูญ และตั้งด้อยค่าที่บันทึกในช่วงไตรมาส 3/58 ประมาณ 10 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าช่วงไตรมาส 3/59 น่าจะมีกำไรปกติเติบโต 33.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นักวิเคราะห์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการของกำไรปกติในปี 2559  มาอยู่ที่ประมาณ  292 ล้านบาท เติบโต 35.20% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะทำให้มีกำไรสุทธิ 270 ล้านบาท และในปี 2560 กำไรปกติ 362 ล้านบาท คาดจะเติบโต 23.90% เมื่อเทียบกับปี 2559 จากคาดการณ์เดิมจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 14% ซึ่งการเติบโตจะเป็นไปตามทิศทางที่สดใสของธุรกิจเครื่องสำอาง

โดยหากผลดำเนินงานเป็นไปตามคาด ซึ่งกำไรปกติในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2559 จะคิดเป็น 83.70% ของประมาณการทั้งปี ที่มองว่าสูงเกินไป โดยปกติช่วงไตรมาส 4/59 กำไรปกติน่าจะยังเติบโตเด่นทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเครื่องสำอาง

อีกทั้งปัจจุบันยังมีทิศทางที่สดใสหลังผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมมากขึ้นจากชาวไทยและต่างชาติ ตลอดจนมีการเพิ่มช่องทางจำหน่าย, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทยังไม่ต้องมีการรับรู้ผลขาดทุนของบริษัทย่อยซึ่งดำเนินธุรกิจเดินรถโดยสารประจำทาง หลังจากที่มีการขายออกไปแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย.59 จึงได้มีการปรับประมาณการดังกล่าวเพิ่มขึ้น

Back to top button