“เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท” เคาะราคาขาย IPO ที่ 3.88 บ./หุ้น เข้าเทรด SET 14 พ.ย.นี้

“เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท” หรือ FN ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท "เอ๊าท์เลท" เคาะราคาขาย IPO ที่ 3.88 บ./หุ้น เปิดจอง 7-9 พ.ย.59 จ่อเข้าเทรด SET 14 พ.ย.นี้ โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาการเงิน


บริษัทเอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN ระบุว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.88 บาท/หุ้น เพื่อระดมทุนใช้ขยายสาขา โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 7-9 พ.ย. และคาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 14 พ.ย.นี้

นายปรีชา ส่งวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร FN เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าอนาคตธุรกิจจะพัฒนาสู่มาตรฐานสากล โดยในช่วงที่ผ่านมามีการเดินทางไปโรดชว์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยสถาบันในประเทศมีความต้องการจองซื้อหุ้น FN เข้ามาเกินกว่า 14 เท่า ของจำนวนหุ้นที่มีกระจายให้แก่สถาบันทั้งหมด 70 ล้านหุ้น       

ขณะที่นายเบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FN เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนใช้เงินจากการระดมทุนในการเปิดสาขาเพิ่ม 5 สาขา โดย 1 ใน 5 สาขา ได้แก่ สาขาอยุธยา คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการภายในไตรมาส 4/59 ซึ่งบริษัทใช้แหล่งเงินจากกระแสเงินสดภายในกิจการเป็นหลัก สำหรับอีก 4 สาขาที่เหลือมีแผนจะเปิดภายในปี 61 คาดว่าจะใช้งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 120 ล้านบาท รวมถึงปรับปรุง 7 สาขาเดิม

การระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยให้ FN มีศักยภาพทางธุรกิจที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเราหวังว่าบริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยบริษัทฯมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต” นายเบญจ์เยี่ยม กล่าว

โดย FN ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท”เอ๊าท์เลท” จำหน่ายสินค้าของบริษัทเป็นส่วนใหญ่และตราสินค้าอื่นๆ ที่รับฝากขายและรับซื้อเพื่อมาวางจำหน่าย ปัจจุบัน มีเอ๊าท์เลท 7 สาขา ได้แก่ สาขาเพชรบุรี กาญจนบุรี พัทยา ปากช่อง สิงห์บุรี หัวหินและศรีราชา

นอกจากนี้ยังมีบริษัทย่อย คือ บริษัท เซฟ นาว จำกัด (SN) จำหน่ายสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเครื่องใช้ในบ้านในรูปแบบห้างสรรพสินค้า เป็นแบรนด์รอง (Fighting Brand) เน้นกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับล่าง มีร้าน SAVE NOW 1 แห่งที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ขณะที่ นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ FN เปิดเผยว่า FN แต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 250 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท พร้อมด้วยบริษัทผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) , บล.ทรินีตี้, บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย), บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ บล.เอเชีย พลัส จำกัด

สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ FN ตั้งอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง และด้วยองค์ประกอบของบริษัทฯที่มีประสบการณ์ รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท “เอ๊าท์เลท” และอยู่ในธุรกิจมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินจากการระดมทุนในการขยายสาขา ปรับปรุงพื้นที่สาขา ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

“FN เป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ เพราะเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจเอ๊าท์เลท และที่สำคัญทีมงานผู้บริหารเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีวิสัยทัศน์ รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจ และขยายสาขาไปยังจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น” นายสมศักดิ์กล่าว

ส่วน นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า มั่นใจว่าหุ้นไอพีโอของ FN จะได้รับการตอบรับ จากนักลงทุนอย่างดี เนื่องจากในช่วงนำเสนอข้อมูลหลักทรัพย์ (โรดโชว์) 13 จังหวัด รวมถึงการนำเสนอข้อมูลให้กับกองทุนทั้งในและต่างประเทศได้รับการตอบรับที่ดี

การโรดโชว์ 13 จังหวัด ห้องค้าต่าง ๆ รวมถึงกองทุนในประเทศ และต่างประเทศ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และจากความเข้าใจธุรกิจ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัท ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเชื่อมั่นว่าหลังจาก FN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจให้กับนักลงทุน” นายสมภพกล่าว

ทั้งนี้ FN มีการเติบโตที่ดี และราคาไอพีโอที่ 3.88 บาท ถือเป็นราคาที่เหมาะสม และราคาดังกล่าวคำนวนณจาก P/E ของผลประกอบการย้อนหลัง 4 ไตรมาส อยู่ที่ราว 32 เท่าในระดับเดียวกับอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม FN ถือว่ามีแนวโน้มที่เติบโตดีกว่า เนื่องจากมีสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัท ซึ่งให้มาร์จิ้นที่สูงกว่าที่ 13-15% ขณะที่มาร์จิ้นของอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 7% หากมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นก็จะเห็นการเติบโตอย่างชัดเจน

ด้วยระดับราคานี้ถือว่ามีความเหมาะสม และพื้นฐานของบริษัทฯยัฃถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับกับบริษัทฯอื่นๆ ซึ่งยังสามารถขยายตลาดไปยังจังหวัดท่องเที่ยวได้อีกมาก โดยหลังจากที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องแล้ว จะช่วยให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และกำไรก็จะดีตาม เพราะมาร์จิ้นของเราสูงถึง 13-15%”นายสมภพ กล่าว

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 58 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายเท่ากับ 1,102.20 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 146.43 ล้านบาท ในขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนปี 59 บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายเท่ากับ 525.79 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 68.95 ล้านบาท

 

Back to top button