KTC จ่อออกหุ้นกู้ 5-7 พันลบ. อายุ 5-10 ปี หวังรองรับการปล่อยสินเชื่อในอนาคต
KTC คาด Q4/59 โตต่อเนื่องจาก Q3/59 เหตุเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จ่อออกหุ้นกู้ 5-7 พันลบ.ในธ.ค.นี้ อายุ 5-10 ปี หวังรองรับปล่อยสินเชื่อในอนาคต
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคมนี้บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่วงเงิน 5-7 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ระหว่าง 5-10 ปี โดยการออกหุ้นกู้บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปรองรับปล่อยสินเชื่อในอนาคต และเพื่อล็อคต้นทุนทางการเงินใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 60-62) ในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินปีหน้าอยู่ที่ 3-3.5% โดยปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่ 3.2%
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ากำไรปี 60 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่ตั้งเป้ากำไรโต 15% จากปี 58 ที่บริษัทมีกำไร 2.07 พันล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรแล้ว 1.85 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4/59 ยังมั่นใจว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะยังเติบโตมากที่สุดของปีในช่วงไฮซีซั่น โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แนวโน้มไตรมาส 4 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าไตรมาส 3 เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นทั้งการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะยอดใช้ผ่านบัตรในเดือนตุลาฯที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดี ทำให้เรามั่นใจว่าปีนี้กำไรที่ตั้งไว้เติบโต 15% น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับปัจจัยเสี่ยงยังอยู่ที่เศรษฐกิจทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง”นายระเฑียร กล่าว
ขณะที่ในปี 60 บริษัทได้วางแผนขยายปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมที่ไม่ต่ำกว่า 15% พอร์ตลูกหนี้ขยายตัวประมาณ 10% โดยจะรักษาระดับของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ในระดับที่ 1.9% จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 1.9-2.1% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระบบ เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นและมีการควบคุมและติดตามลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 60 บริษัทมองว่ายังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากการส่งออกไทยอาจจะยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งยังต้องติดตามการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ว่าจะมีผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างไร อีกทั้งการจับจ่ายใช้สอยในประเทศนั้นยังมีแรงกดดันจากภาวะหนี้ของกลุ่มคนรากหญ้าและกลุ่มคนชั้นกลางที่ยังอยู่ในระดับสูง และราคาสินค้าเกษตรต่ำ ทำให้รายได้ของคนกลุ่มรากหญ้ายังต่ำ ซึ่งกดดันการใช้จ่ายโดยรวมและกระทบไปถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในภาพรวมนี้จะมีผลกระทบบ้างกับบริษัทในปีหน้า