SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ.-มีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์
SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ. – อยู่ระหว่างพิจารณาขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์
นางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 60 จะไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดรายได้จะอยู่ที่ 5,000-5,500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทฯจะกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มอีกอย่างน้อย 67 เมกะวัตต์
แบ่งเป็นโครงการในประเทศญี่ปุ่น เฟสแรก 30 เมกะวัตต์ ที่จะ COD ในช่วงไตรมาส 1/60 และโครงการในประเทศฟิลิปปินส์ 37 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างภายในช่วงไตรมาส 1/60 และเริ่ม COD ในช่วงไตรมาส 2-3/60 ใช้งบลงทุนราว 1,850 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้ายอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปราว 2,000 ล้านบาท หรือที่ 50 เมกะวัตต์
“ในปีนี้เรายังต้องลุ้นว่าผลประกอบการจะออกมามากกว่าเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เพราะงานหลายๆ งานมาจบในช่วงไตรมาส 4/59 แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 5,000-5,500 ล้านบาทได้แน่นอนอยู่แล้ว ในขณะที่ปีหน้าเราก็ยังมีการขยายการขายการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง และยังมีการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม ซึ่งเราก็ตั้งเป้าที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”นางสาววันดี กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการขยายกิจการในประเทศญี่ปุ่น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกลงทุนในโครงการที่พันธมิตรมีอยู่ทั้งหมด 500 เมกะวัตต์ และในประเทศฟิลิปปินส์ ที่พันธมิตรมีโครงการอยู่ทั้งหมด 200 เมกะวัตต์ โดยบริษัทจะเลือกร่วมลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพมากที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะได้โครงการที่เหมาะสมทั้งหมดกี่โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8,000-10,000 ล้านบาทภายในปี 63 โดยคงเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมกะวัตต์ ในปี 63 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 260 เมกะวัตต์ โดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินลงทุนตามแผนงานในอนาคตนั้น บริษัทจะเน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ ซึ่งยังสามารถกู้ได้เพิ่มหลังระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่เพียง 1.78 เท่า ขณะที่การเพิ่มทุนจะเป็นช่องทางสุดท้ายที่บริษัทจะเลือกดำเนินการ