LANNA คาดกำไร H1/60 โตก้าวกระโดด รับราคาถ่านหินสูง

LANNA คาดกำไร H1/60 โตก้าวกระโดด รับราคาถ่านหินสูง,โรงไฟฟ้าถ่านหิน เริ่มผลิตปี 64


นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรในช่วงครึ่งแรกปี 60 จะเติบโตก้าวกระโดดจากช่วงครึ่งแรกปีนี้ รับผลบวกจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงที่มีการทำสัญญาขายถ่านหินล่วงหน้าสำหรับปีหน้า

ขณะที่เตรียมจะขอรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มการผลิตถ่านหินจาก 2 เหมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้การผลิตถ่านหินในปีหน้าเพิ่มขึ้นจากปีนี้ด้วย พร้อมเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินในอินโดนีเซีย ขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) มูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเริ่มผลิตและสร้างรายได้กลับคืนมาในปี 64

ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทได้ขอรัฐบาลอินโดนีเซีย เพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซียเป็น 6 ล้านตัน จาก 4.8-5 ล้านตันในปีนี้ หลังจากราคาถ่านหินที่ลดลงทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียได้พยายามควบคุมโควตาการผลิตก่อนหน้านี้ โดยบริษัทจะขอเพิ่มการผลิตของเหมือง LHI เป็น 3.5 ล้านตัน จาก 3.2 ล้านตันในปีนี้ และการผลิตจากเหมือง SGP เป็น 2.2-2.5 ล้านตัน จาก 1.5 ล้านตันในปีนี้

สำหรับธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหินก็จะนำเข้ามาจากอินโดนีเซียมายังคลังสินค้าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ราว 9 แสนตัน ใกล้เคียงกับปีนี้

ด้านราคาถ่านหินตลาดโลกช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.59 ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น จะไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานและกำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้มากนัก เนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญาขายถ่านหินล่วงหน้าไว้บางส่วนแล้วในช่วงต้นปี 59 แต่จะส่งผลดีต่อผลประกอบการในปี 60

โดยเฉพาะในครึ่งแรกปี 60 จากราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าตัว จากราคาขายเฉลี่ยปีนี้การขายถ่านหินของเหมือง LHI อยู่ที่ 29 เหรียญสหรัฐ/ตัน เหมือง SGP ที่ 36 เหรียญสหรัฐ/ตัน ก็คาดว่าจะทำให้กำไรเติบโตก้าวกระโดดในครึ่งแรกปี 60  ส่วนแนวโน้มครึ่งหลังปี 60 ไม่คิดว่าราคาถ่านหินจะยืนระดับสูงได้

ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหินน่าจะเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 70-80 เหรียญสหรัฐ/ตัน หากพิจารณาถึงแนวโน้มไปถึงไตรมาส 4/60 เชื่อว่าไม่น่าจะได้เห็นระดับราคา 90-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยความต้องการใช้ถ่านหินตอนนี้ฟื้นตัวขึ้น จนทำให้ปริมาณสินค้าในช่วงเดือนธ.ค.ขาดแคลน

ขณะที่ปริมาณการผลิตลดลงไปจากการที่เหมืองขนาดเล็กในอินโดนีเซียปิดการผลิต ส่วนเหมืองขนาดใหญ่ติดโควตาการผลิต หลังจากที่รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ต้องการให้เพิ่มปริมาณการผลิตออกมามาก ประกอบกับปีนี้อินโดนีเซียไม่มีภาวะภัยแล้ง และมีฝนตกตลอดทำให้การผลิตถ่านหินทำได้ยาก อย่างไรก็ตามมองราคาถ่านหินน่าจะเริ่มปรับลงช่วงคริสมาสต์ แต่คงจะปรับลงไม่มากนัก

ส่วนความคืบหน้าแผนการลงทุนใหม่ในธุรกิจไฟฟ้าจากถ่านหิน ในประเทศอินโดนีเซีย ขณะนี้ได้ข้อสรุปแล้วที่จะลงทุนขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) ด้วยเงินลงทุนราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเบื้องต้นบริษัทถือหุ้น 70-80% และพันธมิตรท้องถิ่นเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งอีก 20-30% ซึ่งในส่วนการถือหุ้นของบริษัทก็จะหาพันธมิตรไทยที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่าจะเห็นการสร้างรายได้กลับเข้ามาในปี 64 หลังจากต้องใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี

               

 

Back to top button