JSP เตรียมซื้อหุ้น 50% ใน “บ.เซนิท แมเนจเม้นท์” พร้อมเปิด 5 โครงการใหม่ปี 60
JSP เตรียมซื้อหุ้น 50% ใน “บ.เซนิท แมเนจเม้นท์” ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาฯให้เช่า เล็งเปิด 5 โครงการใหม่ปี 60
บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มหาชน หรือ JSP ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท เซนิท แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอาพาร์ทเม้นท์ให้เช่า โดยเป็นการซื้อจากบุคคล 3 ราย เป็นจำนวน 5 หมื่นหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท ชำระมูลค่าแล้วหุ้นละ 2.50 บาท
ทั้งนี้ เพื่อร่วมลงทุนกับบริษัทที่มีความชำนาญงานทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และอาพาร์ทเม้นท์ให้เช่า โดยหลังการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ JSP จะถือหุ้น 50% ร่วมกับนายวีรชัย พิพัฒน์พวงทอง ถือหุ้น 40% และนางสาวพันธุ์หงษ์ ปุริสตระกูล ถือหุ้น 10%
ขณะที่ นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ของ JSP กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท เติบโตราว 20% จากปีนี้ จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 5.6 พันล้านบาท ซึ่งจะโอนได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนและรับรู้รายได้จนถึงปี 61 ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายที่ระดับ 4.5 พันล้านบาท หลังเตรียมเปิดโครงการใหม่ในปี 60 อีก 5 โครงการ มูลค่าราว 4 พันล้านบาท
โดยแบ่งเป็น โครงการ J Grand สาทร-กัลปพฤกษ์ มูลค่า 610 ล้านบาท, โครงการ J City รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่า 687 ล้านบาท, โครงการ J Town เฟส 2 และ J Villa แพรกษา มูลค่า 1.15 พันล้านบาท, โครงการ J Villa บางปะกง 585 ล้านบาท และโครงการ J Legend Miami มูลค่า 790 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาเปิดโครงการใหม่ในช่วงปลายปี 60 เพิ่มเติมอีก 3 โครงการ มูลค่า 4.6 พันล้านบาท คือโครงการวงแหวนบางบัวทอง ซึ่งเป็น mix use มูลค่า 2.6 พันล้านบาท โครงการศรีราชา ทาวน์โฮม มูลค่าราว 1 พันล้านบาท และโครงการพัทยา บ้านเดี่ยว มูลค่าราว 1 พันล้านบาท
“สัดส่วนรายได้ปี 60 จะมาจากโครงการแนวราบจะอยู่ที่ 60% และโครงการคอนโดมิเนียม 10% ส่วนที่เหลือจะมาจากอาคารพณิชย์ และอื่น ๆ 30% จากปีนี้ที่เรามีสัดส่วนรายได้หลักมาจากคอนโดมิเนียม โดยบริษัทได้หันมาทำโครงการที่เป็นแนวราบมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าโครงการแนวราบที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทมีความสามารถที่จะใช้เวลาเพียง 5 เดือน หลังจากซื้อที่ดินแล้วพร้อมเปิดขายได้ทันที โดยปีหน้าเราก็ยังคงบุกในพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมืองเป็นหลักซึ่งยังมีความต้องการ และกำลังซื้อยังมีอยู่”นายไพโรจน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปีนี้ บริษัทยังต้องลุ้นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายรายได้ที่ 4 พันล้านบาท ได้หรือไม่ เนื่องจากยังต้องรอลุ้นว่าจะสามารถโอนโครงการคอนโดมิเนียม 2 อาคารให้กับลูกค้าจากประเทศไต้หวัน และสิงคโปร์ มูลค่าราว 500 ล้านบาท ทันในช่วงปลายปีนี้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงยืนยันว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 3.21 พันล้านบาท แม้ว่าในช่วง 3 ไตรมาส ที่ผ่านมาบริษัทจะมีรายได้เพียง 1.68 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้บริษัทเตรียมโอนโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก
“ปีนี้เราค่อนข้างลุ้นนะ ว่าเราจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอยู่ ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่สูงถึง 40% ทำให้เราหันมาทำโครงการที่เป็นแนวราบมากขึ้น ซึ่งสามารถก่อสร้าง โอนได้รวดเร็ว และมียอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 20%”นายไพโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิปี 59-60 บริษัทคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 12-15% ได้ แม้ว่าในช่วง 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะอยู่ที่เพียง 7.21% โดยในช่วงไตรมาส 4/59 การโอนโครงการต่าง ๆ จำนวนมาก จะทำให้อัตรากำไรสุทธิจะขึ้นมาอยู่ในกรอบดังกล่าวได้
“ช่วงก่อนหน้านี้เรามีอัตรากำไรสุทธิขึ้นไปใกล้เคียง 20% ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นในโครงการอาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระดับสูง แต่หลังจากนี้เราก็คงจะเห็นอยู่ในกรอบที่ 12-15% ซึ่งเรามาเน้นในโครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ต่ำกว่า แต่เราก็คงจะรักษาในกรอบนี้ได้”นายไพโรจน์ กล่าว