TOP คาด Q4/59 อาจมีกำไรจากสต็อกหลังราคาน้ำมันพุ่งมากในธ.ค.

TOP คาด Q4/59 อาจมีกำไรจากสต็อกหลังราคาน้ำมันพุ่งมากในธ.ค.


นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือTOP เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายปี 60 จะอยู่ที่ระดับ 2.8-3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ราว 2.6-2.7 แสนล้านบาท ลดลงจาก 2.94 แสนล้านบาทในปีที่แล้วตามราคาน้ำมันที่ปรับลง แต่ในปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับราว 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

ขณะที่คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกในปี 60 จะใกล้เคียงระดับ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ หลังประเมินว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ระดับ 109% โดยโรงกลั่นน้ำมันเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ ไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุง แต่โรงงานอะโรเมติกส์เดินเครื่องไม่เต็มที่ เพื่อใช้กำลังการผลิตให้เหมาะสมกับส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์สายอะโรเมติกส์ยังไม่ดีนัก

ทั้งนี้ ในปีหน้า TOP คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่กำลังการกลั่นทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 6 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้ภาวะโอเวอร์ซัพพลายค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ปี 58 ต่อเนื่องปี 59 ที่ค่าการกลั่น (GRM) อยู่ในเกณฑ์ดีและน่าจะดีต่อเนื่องในปีหน้า โดยมองค่าการกลั่นของบริษัทในปีหน้าจะใกล้เคียงกับระดับ 5 เหรียญ/บาร์เรลในปีนี้

“GRM ของโรงกลั่นในปีหน้าเราคาดการณ์ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่อย่างต่อเนื่องใกล้เคียงกับปีนี้ ซึ่งปีนี้ GIM ซึ่งรวมทั้งอะโรเมติกส์ด้วย โดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ประมาณ 7 เหรียญ ถ้า GRM อย่างเดียวน่าจะอยู่ที่ 5 เหรียญ ปีหน้า projection เราออกมาใกล้เคียงแบบนี้มาก เลยเป็นเหตุให้เรายัง run plant ไม่ต่างจากปีนี้เท่าไหร่ คือ run capacity ในเกณฑ์ที่สูง ขณะเดียวกันอะโรเมติกส์ ปิโตรเคมี ก็ optimise”นายอธิคม กล่าว

นายอธิคม กล่าวว่า สำหรับในไตรมาส 4/59 คาดว่าบริษัทอาจจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ธ.ค.มายืนเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำม้น (โอเปก) มีมติที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในเดือน ธ.ค. ซึ่งคิดเป็นราคาปิด ณ สิ้นไปตรมาส 4/59 อาจจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในเดือน ก.ย. ซึ่งคิดเป็นราคาปิด ณ สิ้นไตรมาส 3/59 ที่อยู่ในระดับ 43.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

อีกทั้ง GIM ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีด้วยเช่นกัน ทำให้คาดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โดย GIM ในไตรมาส 4/59 จะทำได้ดีกว่า 6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/59 ตามการใช้น้ำมันและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีที่มีภาวะอากาศหนาวเย็น และมีการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในการผลิตสินค้าเพื่อรองรับเทศกาลต่าง ๆ

สำหรับในปี 60 คาดว่าสเปรดผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) จะยังอยู่ในระดับต่ำราวเกือบ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 319 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ จากภาวะโอเวอร์ซัพพลายที่ยังคงอยู่ หลังได้รับแรงกดดันจากกำลังผลิตใหม่ของโลกที่จะเข้ามาราว 3.8 ล้านตัน/ปีทั้งจากอินเดียและซาอุดิอาระเบีย ส่วนสเปรดผลิตภัณฑ์เบนซีน (Bz) คาดว่าจะอยู่ในช่วง 160-180 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 148 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ โดยยังคงถูกกดดันจากต้นทุนน้ำมันเบนซินสูง ขณะที่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอยในปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้ ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากงานก่อสร้างโครงการของภาครัฐที่จะออกมามากขึ้น

นอกจากนี้ ในปีหน้ายังคาดว่าจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการเดินเครื่องผลิตเต็มปีของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 239 เมกะวัตต์ที่เปิดดำเนินการในปีนี้ ซึ่งจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มากกว่า 1 พันล้านบาท/ปี และรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) กาลังผลิตประมาณ 1 แสนตัน/ปีหลังเปิดดำเนินการในปีนี้ ขณะที่บริษัทยังได้ศึกษาการขยายกำลังผลิตของ LAB หรือในสายงานผลิต LAB ในอนาคตด้วย 

นายอธิคม กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์  (Clean Fuel Project:CFP) มูลค่าราว 3,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีเป้าหมายจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น อยู่ระหว่างการออกแบบด้านวิศวกรรมโครงการ (Front End Engineering Design process) หลังจากนั้นจะทดสอบความคุ้มทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก่อนจะนำเสนอคณะกรรมการเพื่อออกเอกสารเชิญประมูล (TOR) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายไตรมาส 1/60 หรือต้นไตรมาส 2/60 และให้เวลาผู้รับเหมาพิจารณาประมาณ 9 เดือนก่อนจะส่งเอกสาร น่าจะเป็นช่วงปลายปี 60 หรือต้นปี 61 จากนั้นจะพิจารณาความคุ้มทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์อีกครั้งหนึ่งก่อนจะตัดสินใจขออนุมัติการลงทุนขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการในต้นปี 61 คาดว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นในปี 61 และมีผลิตภัณฑ์ออกมาในต้นปี 65

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ในปี 60 การลงทุนของ CFP จะเป็นเรื่องการออกแบบ และลงทุนเกี่ยวเนื่องกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับโครงการ ได้แก่ การสร้างถังน้ำมันเพิ่มรองรับการสำรองน้ำมันตามกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นตามกำลังผลิต , การขยายสถานีจ่ายน้ำมันทางรถ (lorry loading) จากปัจจุบันมีอยู่ 10 จุด จะเพิ่มเป็น 15 จุด ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับการขายน้ำมันในประเทศและอินโดจีน โดยใช้รถขนส่งได้มากขึ้นด้วย โดยโครงการนี้จะแล้วเสร็จในเดือนก.พ. และการปรับปรุงและขยายท่าเทียบเรือให้รองรับเรือขนาดใหญ่ได้มากขึ้น รวมถึงการสร้างสำนักงานใหม่ใน จ.ชลบุรี ซึ่งการลงทุนทั้งหมดอยู่ในวงเงินลงทุนตามแผน 5 ปี (ปี 60-64) รวม 357 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าได้รับการอนุมัติโครงการ CFP ในปีหน้าก็จะเพิ่มวงเงินลงทุนเข้าไปอีก 3,570 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับเงินลงทุนเบื้องต้นตามแผน 5 ปีนั้นจะมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งการที่มีกระแสเงินสดจำนวนมาก ยังช่วยในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ทำให้สามารถลดผลกระทบจากแนวโน้มจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท บริษัทจึงได้ทยอยเข้าซื้อดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปี 59 จนถึงขณะนี้ราว 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการที่มีภาระหนี้สกุลดอลลาร์ที่มีอยู่ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากภาระหนี้ทั้งหมด 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลืออีก 900 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นหนี้สกุลเงินบาท

ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นนั้น ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะภาระหนี้ส่วนใหญ่ 90% มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ โดยปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยฉลี่ยราว 3.6% ทำให้ยังไม่มีแผนที่จะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์ภาระหนี้ที่มีอยู่

ทั้งนี้ บริษัทยังคงคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่ากลุ่มโอเปกและนอนโอเปกจะลดกำลังการผลิตน้ำมันทำให้ภาวะโอเวอร์ซัพพลายของน้ำมันกลับเข้าสู่สมดุลเร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 60 แต่การที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาก็จะทำให้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซฯจากชั้นหินดินดาน (shale oil และ shale gas) กลับมาผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไม่ได้มากนัก

นายอธิคม กล่าวอีกว่า สำหรับการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับทราบข้อสรุปการดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งจะเริ่มให้มีการนำเข้า LPG เสรีตั้งแต่ต้นปีหน้า โดยปล่อยให้ราคานำเข้าเป็นไปอย่างเสรี จากเดิมที่เป็นราคาตลาดโลก (CP) +85 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปรับราคาขาย LPG ของโรงกลั่นน้ำมันเป็นราคา CP จากเดิมที่เป็นราคา CP -20 เหรียญสหรัฐ/ตันนั้น ในส่วนของบริษัทก็จะทำให้มีรายได้จากการขาย LPG เพิ่มขึ้นราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี จากกำลังการผลิต LPG ที่มีอยู่ทั้งหมด 1,450 ตัน/วัน

บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างธุรกิจเอทานอลใหม่หลังรูปแบบของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่เป็นผู้มีอำนาจในการซื้อของตลาดมากกว่าโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงปริมาณการผลิตของทั้งประเทศยังคงมากกว่าความต้องการใช้ และราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้บริษัทต้องกลับมาพิจารณาจัดลำดับความสำคัญใหม่ว่าที่ปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่งมากไปหรือไม่ แต่บริษัทก็ยังให้ความสำคัญที่ต้องการมีพอร์ตเกี่ยวกับธุรกิจกรีนและสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าจะสรุปโครงสร้างดังกล่าวเพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริษัทในช่วงไตรมาส 1/60

ปัจจุบัน TOP ถือหุ้นในบริษัทผลิตเอทานอล 3 แห่ง กำลังผลิตรวม 8.3 แสนลิตร/วัน ได้แก่ บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ถือหุ้น 30% ,บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จำกัด ถือหุ้น 50% และบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด ถือหุ้น 21%

Back to top button