SAMCO ตั้งเป้าปีนี้รายได้อยู่ที่ 1.8 พันลบ. ยอดขายแตะ 2 พันลบ.
SAMCO ตั้งเป้าปี 58 รายได้โตเป็น 1.8 พันลบ. ยอดขาย 2 พันลบ. เผยมียอดขายรอโอนเกือบ 1 พันลบ.รับรู้ฯ ทั้งหมดในปีนี้ เผยมีแผนเปิด 2 โครงการใหม่ปีนี้ มูลค่ารวมกว่า 2 พันลบ. เตรียมทุ่มงบปีนี้ 750-900 ลบ.ซื้อที่ดินเพิ่ม 3 แปลง
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปี (ปี 58-62) เปิดตัวโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 3 โครงการ ยังเน้นแนวราบตามความถนัด พร้อมตั้งเป้าผลักดันรายได้พุ่งแตะ 4 พันล้านบาทภายในปี 62 จากปีนี้คาดว่าจะทำรายได้เพิ่มเป็น 1.8 พันล้านบาท จาก 1.15 พันล้านบาทในปี 57 และมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 1.7 พันล้านบาท
สำหรับรายได้ในปีนี้จะมาจากการโอนโครงการแนวราบ 1.05 พันล้านบาท ,การโอนโครงการคอนโดมิเนียม 500 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ 250 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog)เกือบ 1 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ และมีแผนเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ มูลค่าราว 1 พันล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม รามอินทรา-วงแหวน มูลค่าราว 1 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถปิดการขาย 5 โครงการที่ดำเนินการอยู่ในทำเลรามคำแหง มีนบุรี นิมิตใหม่ รังสิตคลอง 2 และอควา ดิวิน่า ภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเป็นกว่า 10% จาก 8.69% ในปี 57 ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียม S9 เข้ามาในปีนี้เป็นปีแรก ซึ่งเป็นโครงการที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 12-14% มากกว่าโครงการแนวราบที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8% จึงเชื่อว่าจะช่วยผลักดันอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ให้เติบโตขึ้นได้มาก
ขณะที่บริษัทได้ตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ราว 750-900 ล้านบาท เบื้องต้นจะซื้อที่ดินเพิ่ม 3 แปลงในเขต กทม.เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยจะยังเน้นโครงการแนวราบเป็นหลัก ส่วนโครงการในต่างจังหวัดขณะนี้มีที่ดินอยู่แล้วจำนวน 25 ไร่ ในพัทยา จ.ชลบุรี ใกล้กับสวนน้ำ Cartoon Network โดยจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในปี 60 ระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถโอนได้ไนปี 62
ส่วนแผนการพัฒนาศูนย์การค้าคอมมูนิตี้ มอลล์ เพียวเพลส จังหวัดข่อนแก่น มูลค่าลงทุนราว 350 ล้านบาท ที่บริษัทได้ร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่น คือ พิมานกรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วน 50:50 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาที่ดินและการขออนุญาตก่อสร้างกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเซ็นสัญญาได้ช่วงกลางปี 58 และเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 58 กำหนดแล้วเสร็จในช่วงปี 60 ทั้งนี้ ทำเลที่ตั้งโครงการคอมมูนิตี้ มอลล์ เพียว เพลส อยู่ในโซนมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี
โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 7-8% จากปีก่อน เป็นการเติบโตจากฐานต่ำ ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองที่มีความชัดเจนและเริ่มนิ่ง พร้อมทั้งรัฐบาลวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การอัดฉีดเงินของภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนออกมา ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวไปบ้าง แม้ว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่มากก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ต่างๆจะเริ่มฟื้นกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลมีแผนการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีรูปแบบที่แน่นอน และจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังมีความคึกคักมากกว่าครึ่งปีแรก เมื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจมากขึ้น โดยปีนี้มองว่าที่อยู่อาศัยแนวราบจะเติบโต 8% หรือมียอดโอน 4.5 แสนล้านบาท เนื่องจากประชาชนยังมีความต้องการ และอั้นการใช้จ่ายมาจากช่วงปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทจึงวางเป้าหมายในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 58-62) จะทำรายได้ 4 พันล้านบาทในปี 62 โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 3 โครงการ ยังเน้นโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยมีมูลค่าโครงการรวมต่อปีจะอยู่ที่กว่า 3 พันล้านบาท หรือโครงการละ 1 พันล้านบาท บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมราคา 6 ล้านบาทขึ้นไป และทาวน์โฮมระดับราคา 2-4 ล้านบาท
ส่วนการที่บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในสัดส่วน 48.25% นั้น เชื่อว่าจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ไนเชิงการเป็น Strategic Partner โดย RPC ได้ส่งตัวแทน 3-4 คนเข้ามาร่วมบริหารเพื่อช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้น ประกอบกับ เข้ามาสนับสนุนและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีและระบบการก่อสร้าง เพื่อเสริมศักยภาพการบริหารงานของบริษัทและสามารถรองรับการเติบโตตามเป้าหมาย ทั้งนี้ในส่วนการลงทุนพัฒนาและปรับปรุงด้านเทคโนโลยีการทำงานภายในองค์กรนั้นบริษัทใช้เงินลงทุนกกว่า 10 ล้านบาท
โดยการเจรจากับพันธมิตรที่สนใจเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทในการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บางโครงการนั้น ปัจจุบันมีพันธมิตรที่สนใจเข้ามาเจรจากับบริษัทหลายราย แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่ก็ยังเปิดรับพันธมิตรที่มีความสนใจอยู่ตลอด เนื่องจากการร่วมทุนเป็นช่องทางหนึ่งที่บริษัทจะได้รับผลประโยชน์ในด้านการเติบโต และมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น