“ปริญญ์” ฟันธงนโยบาย “ทรัมป์” เอื้อต่อการทำ TPP แนะ 5 กลุ่มทีเด็ดปี 60

"ปริญญ์" ฟันธงนโยบาย "ทรัมป์" เอื้อต่อการทำ TPP แนะ 5 กลุ่มทีเด็ดปี 60


คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ว่ากรณีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น จะมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยแค่เพียงในระยะสั้นๆ

ทั้งนี้หากมองกลับไปจากสถิติการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่จะสามารถทำตามนโยบายหาเสียงได้ประมาณ 30% ซึ่งนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีความแตกต่างจากที่ผ่านมา โดยนโยบายแรกที่คาดว่าทำได้คือเรื่อง TPP (ข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิก 12) ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลต่อประเทศไทยในเชิงบวก เพราะปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมสัญญาณการค้า TPP หลังจากติดปัญหาเรื่องยา และกล้วยไม้ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะสามารถต่อรองให้สามารถเข้าสู่ TPP ได้ โดยใช้อาเซียนเป็นใบเบิกทาง 

“ด้านโบรกเกอร์หลายๆ รายคาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะอ่อนลง เนื่องจากทรัมป์ เป็นคนคาดเดายาก และมีหลายคนที่ไม่ชอบเขา แต่หุ้นกลับขึ้นแรง พอขึ้นแรงด้วยความที่หวังว่าจะเป็นเทรดที่เงินเฟ้อ นโยบายการเติบโต ทำให้หุ้นที่แพงอยู่แล้ว ยิ่งแพงมากขึ้นไปอีก ซึ่งคาดว่าก่อนที่จะเข้ารับการสาบานตนในสัปดาห์นี้ คนก็เริ่มทยอยขายหุ้นอเมริกาแล้วค่อยกลับมาซื้อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ที่ยังถูกอยู่ แต่ต้องเลือกประเภทอุตสาหกรรม เชื่อว่าการเติบโตของวอลุ่มของการค้าโลกจะดีขึ้น เห็น RMF ออกมาอัพเกรดเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าการค้าโลกจะดีขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งเกษตร น้ำมัน และตัวถ่านหิน ดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้ ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศไทยทั้งเกษตร น้ำมัน กระทบทั้งราคาในตลาดหุ้นและรายได้ต่อหัวของเศรษฐกิจฐานรากให้ดีขึ้น ฟันด์โฟลจะไหลกลับเข้าประเทศ และหากว่าเศรษฐกิจของสหรัฐดีกว่าปีที่แล้วการค้าโลกจะดีขึ้น” นายปริญญ์ กล่าว

 

สำหรับเรื่องโครงสร้างภาษีสำคัญของสหรัฐอเมริกา อาจจะทำได้ง่ายกว่าเรื่องภาษีตัวบุคคลที่จะให้บริษัทยักษ์ใหญ่ได้นำเงินกลับมาลงทุนในอเมริกา เพราะจุดอ่อนในอเมริกาอยู่ที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจ และเอกชนที่ไม่กล้าลงทุนเพราะเห็นว่าตัวเลขการลงทุนยังอ่อน จึงมีการลงทุนในต่างประเทศมากกว่า ทั้งนี้ต้องทำให้เม็ดเงินเหล่านี้กลับมาลงทุนในเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งหนี้ต่อตัวเลข EPG ของสหรัฐอเมริกาค่อนข้างจะสูงกว่า 100% โดยการที่จะปรับโครงสร้างภาษี รวมไปถึงการก่อสร้างพื้นฐานในการลงทุนต้องหาวิธีการไฟแนนซ์ที่ฉลาด

“เม็ดเงินที่เคยกระจายออกมาในภูมิภาคเอเชียจะถูกดึงกลับไปอย่างแน่นอน เหตุนี้จึงต้องทำให้เป็นจุดเลือกที่ดีที่สุดให้ที่พร้อมจะรับการลงทุน แต่ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงระยะสั้น เชื่อว่าเม็ดเงินจะไปสู่ที่ที่มีการเติบโตมากกว่า และได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าทั้งในแง่การลงทุนที่แท้จริง รวมไปถึงการลงทุนในตลาดทุนตราสารหนี้” นายปริญญ์ กล่าว

 

ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทย นั้น ยังต้องจับตาดูการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งสร้างผลงาน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดคือการผลักดันให้เกิด พรบ. การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นภาครัฐต้องอัดฉีดเม็ดเงินในการลงทุนเต็มที่ในกลุ่มก่อสร้าง ,วัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรมที่จะไปช่วยเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) อาทิ WHA และ AAV หรือแม้กระทั้งธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ ก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทั้งนี้แนะนำเลือกหุ้นที่ยังปรับขึ้นไม่สูงเท่าไหร่ ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ,กลุ่มก่อสร้าง ,กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ,กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม

Back to top button