PTT คาดยอดขายน้ำมันปีนี้โต 3% จ่อตั้ง PTTOR อย่างเร็วกลางปี 60
PTT คาดยอดขายน้ำมันปีนี้โตราว 3% ตามทิศทางราคาน้ำมันโลก เดินหน้าแยกธุรกิจจัดตั้ง PTTOR หวังสร้างความคล่องตัวในการบริหารงาน-ธุรกิจน้ำมันเติบโตดีขึ้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัทคาดว่ายอดการจำหน่ายน้ำมันของ ปตท. ในปี 60 จะเติบโตประมาณ 2-3% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันโลกที่คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันตลาดดูไบปี 60 จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่าจะเติบโต 2-3%
ขณะที่ในปี 59 ยอดการจำหน่ายน้ำมันของ ปตท.โต 5-6% หรือมีปริมาณจำหน่ายอยู่ระดับ 2 หมื่นล้านลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันโลกในปี 59 ทรงตัวระดับต่ำทำให้ประชาชนใช้น้ำมันมากขึ้น
สำหรับกรณีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ส่งหนังสือถึง ปตท.และกระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้ตรวจสอบการปรับโครงสร้างธุรกิจน้ำมัน ที่แยกเป็น บริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก สตง.เป็นห่วงเรื่องการดูแลความมั่นคงพลังงานประเทศ และทำให้รัฐเสียเปรียบนั้น ขณะนี้ ปตท.และกระทรวงพลังงานได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว โดยกำลังหารือร่วมกันเพื่อทำหนังสือตอบกลับเพื่อชี้แจงข้อสงสัยของ สตง.อย่างชัดเจนและรอบด้านโดยเร็ว
ด้านนายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย PTT เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการแยกธุรกิจน้ำมัน และจัดตั้ง PTTOR ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมได้ในเดือน มี.ค.60 จากนั้นเข้าสู่กระบวนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี 60 ประมาณปลายเดือน เม.ย.นี้ หากผู้ถือหุ้นอนุมัติก็จะเริ่มโอนย้ายกิจการ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ดังนั้นการจัดตั้งองค์กร PTTOR อย่างเร็วสุดคือช่วงกลางปี 60
โดยการแยกธุรกิจน้ำมันออกมาจาก ปตท. จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและสร้างการเติบโตในธุรกิจน้ำมันได้ดีขึ้น แต่ยังคงแนวทางการดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน สร้างความเป็นธรรมกับผู้บริโภค การพัฒนาคุณภาพน้ำมันให้อยู่ระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมานำเสนอผู้บริโภคให้หลากหลายมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตธุรกิจน้ำมันในต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยปัจจุบัน ปตท.มีปั๊มน้ำมันทั้งใน กัมพูชา สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และเมียนมาอยู่แล้ว และเตรียมศึกษาการลงทุนขยายสาขาไปยังประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียต่อไป