“บูรพาเทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง”เคาะราคา IPO ที่ 4.20 บ./หุ้น เข้าเทรด mai 15 ก.พ.
“บูรพาเทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง” หรือ ETE ผู้ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลักได้แก่ 1.บริหารจัดการบุคลากรในรูปแบบ Outsourcing 2. บริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม 3. ธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ เคาะราคาขาย IPO จำนวน 140 ล้านบาท ที่ 4.20 บ./หุ้น จ่อเข้าเทรด mai 15 ก.พ.นี้โดยมี บ.ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทบูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE ระบุว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 4.20 บาท เปิดให้นักลงทุนจองซื้อในช่วงวันที่ 7-9 ก.พ.60 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 15 ก.พ.60
ทั้งนี้ ETE ผู้ให้บริการ บริหารจัดการบุคลากร และระบบงานธุรกิจ ในรูปแบบ Outsourcing บริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม รวมถึงพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ มีทุนจดทะเบียน 280 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยทุนเรียกชำระแล้ว 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 140 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือ คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อชำระเงินทุนกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
ขณะที่ นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ ETE เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาแต่งตั้ง บล.แอพเพิล เวลธ์ และ บล.เอเชีย เวลท์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น (อันเดอร์ไรท์เตอร์) ร่วมกัน พร้อมด้วยบริษัทผู้ร่วมจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 3 แห่งอันประกอบไปด้วย บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) และ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO
สำหรับราคาเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และด้วยองค์ประกอบของบริษัทฯที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้บริการ บริหารจัดการบุคลากร และระบบงานธุรกิจ ในรูปแบบ Outsourcing และบริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคมมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี รวมถึงการขยายเข้าสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทั้ง 3 ธุรกิจถือว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโตได้อย่างมีศักยภาพในอนาคต ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้ ETE มีแผนที่จะใช้เงินเพื่อชำระเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มขีดความสามารถให้กับ ETE ในการขยายโอกาสในการรับงานของทั้ง 3 ธุรกิจได้หลากหลาย และมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
โดย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ 1 บล.แอพเพิล เวลธ์ มั่นใจว่า ETE จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากในช่วงการนำเสนอข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุน หรือ โรดโชว์ 6 จังหวัดที่ผ่านมา ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา สงขลา สุราษฏร์ธานี และกรุงเทพมหานคร ได้รับการตอบรับที่ดี
“การโรดโชว์ทั้ง 6 จังหวัด ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ และศักยภาพการเติบโตของบริษัทที่มีความโดดเด่น โดยเฉพาะธุรกิจบริการบริหารจัดการ ซึ่งบริษัทเป็นผู้นำในการให้บริการในรูปแบบ Outsourcing นอกจากนี้ ETE ได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งจะมีรายได้ในลักษณะประจำ (Recurring Income) ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่า ETE จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน”นายโชษิต กล่าว
ด้าน นายไรวินท์ เลขวรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ETE เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการระดมในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ทั้งสิ้น 588 ล้านบาท ไปชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินราว 40% ของเงินที่ระดมทั้งหมด เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน โดยคาดหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือ 1 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 3.9 เท่า ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ เพื่อขยายกิจการต่อไป
“การระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยให้ ETE มีศักยภาพทางธุรกิจที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงขยายโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆในอนาคต ซึ่งเราหวังว่า ETE จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยเราจะมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ อย่างมั่นคง และยั้งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต”นายไรวินท์ กล่าว
บริษัทดำเนินธุรกิจหลักๆใน 3 ลักษณะประกอบไปด้วย 1.ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการ (Management Service หรือ MS) แบ่งเป็นงานบริหารจัดการบุคลากร (Manpower Management หรือ MM) และงานบริหารจัดการระบบงานธุรกิจ (Business Process Outsourcing หรือ BPO) และงานบริหารจัดการรถเช่าพร้อมพนักงานขับรถ (Car Rental management หรือ CM)
2. ธุรกิจให้บริการงานวิศวกรรม (Engineering Service หรือ EN) ประกอบด้วยงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า (Electrical Power Engineering System หรือ EE) และงานวิศวกรรมระบบโทรคมนาคม (Telecommunication Engineering System หรือ TL)
และ 3.ธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy หรือ SE) โดยมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการ และสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 16.47 เมกะวัตต์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเมืองตราด จำกัด อ.เมือง จ.ตราด กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์, สหกรณ์การเกษตรวัฒนานคร จำกัด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ , สหกรณ์การเกษตรบางสะพานน้อย จำกัด อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ และ สหกรณ์การเกษตรนิคมฯ คลองน้ำใส จำกัด อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กำลังการผลิต 1.47 เมกะวัตต์
ทั้ง 4 โครงการดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ COD เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 และเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทนตั้งแต่เดือน ม.ค.60 เป็นต้นไป อายุสัญญาซื้อขายไฟ 25 ปี
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายธุรกิจพลังงานไปยังประเทศกลุ่มอาเซียน โดยมองโอกาสที่จะขยายไปยังประเทศสปป.ลาว และกัมพูชา เนื่องจากประเทศดังกล่าวยังมีความต้องการพลังงานทางเลือกค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันในประเทศ บริษัทฯก็อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากหน่วยงานภาครัฐ ในการที่ภาครัฐจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนรอบใหม่ และยังเตรียมเข้าประมูลงานโครงการย้ายสายไฟไฟ้าลงใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) อีกด้วย
ทั้งนี้บริษัทมีบริษัทย่อยอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท อีทีอี เมเนจเมนท์ จำกัด หรือ ETEM มีทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจบริการบริหารจัดการ และธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 99.27% และบริษัท ไทย สปีดี้ เมเนจเมนท์ จำกัด หรือ TSDM มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการรถเช่าพร้อมพนักงานขับนรถ
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 57 บริษัทฯมีรายได้รวมทั้งหมด 1,143.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.78 ล้านบาท และในปี 58 บริษัทฯมีรายได้รวมทั้งหมด 1,594.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64.64 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนของปี 59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 บริษัทฯมีรายได้รวมทั้งหมด 1,061.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.36 ล้านบาท