GL มั่นใจผลงานปี 60 แกร่งมากจากการขยายตัวธุรกิจปกติรวม M&A
GL มั่นใจผลงานปี 60 แกร่งมากจากการขยายตัวธุรกิจปกติรวม M&A
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าผลประกอบการปี 60 จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจปกติ (organic growth) และจากการควบรวมกิจการใหม่ (M&A) โดยบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรเต็มทั้งปีจากการเข้าถือหุ้น 29.99% ในบริษัท Commercial Credit & Finance PLC (CCF) ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศศรีลังกา โดยคาดว่าผลประกอบการของ CCF ในปีนี้จะมีกำไร 32 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้เดิม 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่การลงทุนในเมียนมา ที่ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัท BG Microfinance Myanmar (BGMM) ซึ่งเป็นบริษัทไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมา และได้ทำข้อตกลงพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับนาย Aung Moe Kyaw ผู้นำธุรกิจสุราในเมียนมา ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Century Finance โดยได้รับใบอนุญาตจากธนาคารกลางของเมียนมา ในการประกอบธุรกิจไฟแนนซ์ โดยปีนี้ BGMM ตั้งเป้าปล่อยเงินกู้รายย่อยยอดเงินรวมประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่บริษัทร่วมทุนอีกแห่งหนึ่งระหว่าง GL กับ Century Finance ซึ่งทำธุรกิจบริหารจัดการส่งผ่านลูกค้าสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ให้กับ Century Finance คาดว่าจะขยายพอร์ตได้ถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐเช่นกัน โดยหากทำได้ตามเป้าของทั้ง 2 แห่ง จะทำให้ยอดสินเชื่อในเมียนมาในปีนี้จะมีมูลค่ารวม 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนบริษัท GL Finance Indonesia (GLFI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย ก็เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อในอินโดนีเซียปีนี้จะมีมูลค่าประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อเพื่อการบริโภคและไมโครไฟแนนซ์ในรูปแบบต่าง ๆ โดยกลุ่ม GL ตั้งเป้าว่าบริษัท GLFI สามารถสร้างผลตอบแทนในแง่ของผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว เนื่องจากตลาดอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน
สำหรับธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรแซงหน้าไทยและกลายเป็นตลาดที่สร้างผลกำไรสูงสุดให้กับกลุ่ม GL นั้น คาดว่า GL Finance (GLF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะสามารถเพิ่มพอร์ตสินเชื่อได้ประมาณ 1 เท่าตัวในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี
ทั้งนี้ GL ตั้งเป้าหมายจะขยายไปสู่ตลาดใหม่อีก 13 ประเทศในทวีปแอฟริกา และยุโรปตะวันออกภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีธุรกิจครอบคลุมรวม 20 ประเทศ ซึ่งถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการขยายมุ่งสู่บริษัทชั้นนำระดับโลก