BCP ตั้งงบลงทุนในปี 60 ที่ 1.85 หมื่นลบ. EBITDA โตราว 20% หลังค่าการกลั่นสูงขึ้น
BCP ตั้งงบลงทุนในปี 60 ที่ 1.85 หมื่นลบ., วางเป้า EBITDA โตราว 20% หลังใช้กำลังการกลั่นเพิ่ม-ค่าการกลั่นสูงขึ้น
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 นั้น บริษัทประมาณการรายจ่ายลงทุนในปีนี้ที่ระดับ 1.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมการลงทุนในส่วนของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ขณะที่วางเป้าหมายจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตราว 20% จากปีที่ผ่านมา หลังมองแนวโน้มธุรกิจของกลุ่มบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่จะใช้อัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีหยุดซ่อมบำรุง และค่าการกลั่น (GRM) เพิ่มขึ้น
สำหรับเงินลงทุนในปี 60 ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษา (Maintenance CAPEX) 5 พันล้านบาท หรือราว 27% ,ค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อการเติบโต (Growth CAPEX) จำนวน 5 พันล้านบาท หรือราว 27% , ธุรกิจไบโอฟูเอล 3 พันล้านบาท หรือราว 16% ,ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ (Resources) จำนวน 4 พันล้านบาท หรือราว 22% ,ธุรกิจการตลาด 1 พันล้านบาท หรือราว 5% ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในนวัตกรรมและอื่น ๆ (Innovation & Other) 500 ล้านบาท
ขณะที่ในปีนี้บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปี 59 ซึ่งคาดว่า EBITDA จะเติบโตราว 20% จากปีก่อน เนื่องจากคาดการณ์ว่าในหลาย ๆ ธุรกิจของกลุ่มจะมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดย EBITDA ดังกล่าวจะมาจากธุรกิจโรงกลั่น 44% ,ธุรกิจการตลาด 23% ,ธุรกิจไฟฟ้า ของ BCPG จำนวน 20% , ธุรกิจไบโอฟูเอล 7% และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ 6%
โดยธุรกิจโรงกลั่น มีแผนการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยที่ 1.11 แสนบาร์เรล/วัน คิดเป็นการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 93% จาก 84% ในปีที่แล้ว เนื่องจากไม่มีหยุดซ่อมบำรุงประจำปีเหมือนปีที่ผ่านมา และประมาณการค่าการกลั่นในระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากค่าการกลั่นพื้นฐานที่ระดับ 5.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในปีที่แล้ว ตลอดจนบริษัทจะดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มค่าการกลั่น
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 60 จะปรับขึ้นในช่วงจำกัด มองราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าค่าการกลั่นน้ำมันดิบ ดูไบของโรงกลั่นประเภท Hydrocracking ที่สิงคโปร์มีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อยจากปี 59 จากการเปิดดำเนินการโรงกลั่นใหม่ในหลายประเทศในเอเชีย ขณะที่อุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเริ่มลดลง และแนวโน้มเศรษฐกิจในเอเชียที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ หลังเปลี่ยนแปลงผู้นำ
ส่วนธุรกิจการตลาด ประมาณการปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 530 ล้านลิตร/เดือน และคาดว่าสัดส่วนการจำหน่ายผ่านตลาดค้าปลีกจะเพิ่มจาก 62% เป็น 65% มีค่าการตลาดอยู่ที่ราว 75-80 สตางค์/ลิตร โดยมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 100 แห่ง เน้นขยายในพื้นที่ถนนสายหลัก และหัวเมืองใหญ่ และมีธุรกิจเสริมอื่น ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงคุณภาพของสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น ตลอดจนมีแผนขยายสาขาร้านกาแฟอินทนินเพิ่มอีก 120 สาขา และเปิด SPAR ซูเปอร์มาร์เก็ต เพิ่มอีก 55 สาขา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น
ขณะที่ธุรกิจไบโอฟูเอล ประมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 20% โดยคาดว่าภาครัฐยังคงสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซล ที่ระดับ 5% หรือ B5 ทำให้ยังมีแผนการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณการอัตราการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 7.1 แสนลิตร/วัน ส่วนธุรกิจเอทานอล เปิดดำเนินการเต็มปี มีแผนการใช้อัตราการผลิตเฉลี่ย 1.3 แสนลิตร/วัน นอกจากนี้ยังจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับนโยบายด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ (Biotech) ในไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล
ส่วนธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) คาดว่าผลการดำเนินงานดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีแผนการผลิตในแหล่งน้ำมัน Galoc ที่ 2 พันบาร์เรล/วัน พร้อมหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ขณะที่จะยังคงดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าใช้จ่ายการบริหารอย่างต่อเนื่อง ด้านธุรกิจลิเทียม บริษัทได้ลงทุนเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ Lithium Americas Corp. อีก 50 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 42.5 ล้านเหรียญแคนาดา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเม.ย. เพื่อเป็นเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการเหมืองลิเทียม ของ Minera Exar S.A. (Cauchari Olaroz Project) ในอาร์เจนตินา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 62
สำหรับในปี 59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4.73 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปี 58 โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 1.45 แสนล้านบาท ลดลง 4% จากปี 58 ขณะที่มี EBITDA รวม 1.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปี 58