ECF ปรับกลยุทธ์ปี 60 เพิ่มช่องทางขายในประเทศให้มากขึ้น
ECF ปรับกลยุทธ์ปี 60 เพิ่มช่องทางขายในประเทศให้มากขึ้น
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 60 บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางจำหน่ายในประเทศให้มากขึ้น รับลูกต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่กำลังขยายตัวดี ชูแบรนด์ COSTA จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่ ๆ ให้มีความหลากหลาย ดีไซน์สวยงาม ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ซึ่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และขยายสาขาภายใต้แบรนด์ ELEGA อีก 3 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 16 สาขา เปิดสาขาร้าน FINNA HOUSE จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันมี 5 สาขา ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโอกาสสร้างการเติบโตของยอดขายจากออร์เดอร์ที่มากขึ้นตามการขยายสาขาของลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด
ขณะที่ตลาดต่างประเทศแม้ขณะนี้จะยังไม่มีสัญญาณการเติบโตที่ดี แต่นับแต่ต้นปี คำสั่งซื้อเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง ซึ่งบริษัทยังคงได้รับออเดอร์จากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ แม้ในปีที่ผ่านมาจะชะลอตัวลงบ้าง อย่างไรก็ตามจะพยายามผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มประเทศ AEC เพิ่มขึ้นที่ 10 % จากเดิม 5 % พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ อาทิ กระดาษปิดผิวที่มีรูปแบบใหม่ ๆ ดีไซน์แปลกตาจากเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 55% ภายในประเทศ 45%
ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน “Can Do” จากประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้เปิดสาขาแล้วจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก โฮมโปร รัตนาธิเบศร์ โฮมโปร ราชพฤกษ์ และอินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผน จะขยายสาขาเพิ่มอีก 6 สาขา ซึ่งเมื่อสร้างฐานรายได้ Can Do แข็งแกร่งแล้วจะพิจารณาเรื่องการเปิดขายแฟรนไชส์อีกครั้ง
นอกจากนี้ ECF ยังได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-P) เพื่อลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานทุกประเภท อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และอื่น ๆ และลงทุนในบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ คือ บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง ECF-P และ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ซึ่งได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี (PWGE) จำกัด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ขนาดกำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าว จากการขายไฟให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ปีละไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท
“บริษัทฯมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน ทั้งรายได้จากธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ คาดว่าจะเติบโตที่ 10 % ประกอบกับรายได้ต่างๆ ที่จะทยอยรับรู้ในปีนี้จากบริษัทย่อยทั้ง ECF-P และ ECFH ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายอารักษ์ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานปี 59 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,395 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,358.30 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.7% และมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม 65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำไว้ประมาณ 70 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการตลาด จากการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4/59 กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว นอกจากนี้ภาพรวมการส่งออกยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร ส่งผลต่อคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้