D เนื้อหอม! ยอดจองไอพีโอเกลี้ยง พร้อมลงสนาม 3 เม.ย.นี้ แน่นอน
D กระแสแรง! ยอดจอง IPO เกลี้ยง โชว์ศักยภาพเบอร์หนึ่งด้านทันตกรรมของไทย พร้อมลงสนามเทรด 3 เม.ย.นี้
ทันตแพทย์พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30 – 11.00 น. ว่า บริษัทได้เปิดจองหุ้น IPO จำนวน 50 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 23 , 24 และ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยการจองซื้อได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดี โดนสามารถขายหมดตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง ทั้งนี้บริษัทจะเข้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ วันที่ 3 เม.ย.60
ทั้งนี้บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล และมุ่งเน้นการเอาใจใส่ต่อผู้เข้ารับบริการในรูปแบบศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรม ภายใต้แบรนด์ “BIDC”, “Dental Signature” และ “Smile Signature”
โดยมีผู้ใช้บริการต่างชาติกว่า 50% เนื่องจากบริษัทได้รับการยอมรับจากคนไข้ต่างประเทศ ทั้งเรื่องค่าบริการและคุณภาพ ขณะที่ค่าบริการด้านทันตกรรมของประเทศไทยถูกกว่าต่างประเทศเป็นเท่าตัว อีกทั้งนบริษัทยังเป็นศูนย์ทันตกรรมที่ได้รับรองมาตรฐานคุณภาพจาก Joint Commission International (JCI) ของสหรัฐอเมริกา
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ทั้งหมด จำนวน 50-55 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในการขยายกิจการ รวมถึงขยายพื้นที่ให้บริการของสาขาและเพิ่มสาขา ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถให้บริการได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเพื่อรักษาฟันกับทางบริษัท ส่วนลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม
ด้านผลการดำเนินงานปี 58 บริษัทมีรายได้ 418 ล้านบาท และปี 59 มีรายได้ 442 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 58 อยู่ที่ 12 ล้านบาท และปี 59 มีกำไร 42 ล้านบาท โดยบริษัทมีศูนย์ทันตกรรม 2 สาขา และคลินิกทันตกรรม 10 สาขา รวมทั้งสิ้น 12 สาขา ซึ่งรายได้ต่อสาขาค่อนข้างสูง
ทั้งนี้มาร์จิ้นระหว่างลูกค้าชาวต่างชาติกับลูกค้าคนไทยจะต่างกันไม่มากเนื่องจากบริษัทคิดค่าบริการและค่ารักษาในราคาเท่ากัน แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่อหัวซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติจะสูงกว่าคนไทยค่อนข้างมาก จึงทำให้บริษัทมีรายได้ต่อหัวจากลูกค้าชาวต่างชาติค่อนข้างสูง