KTAM ชี้ไม่ควรขายทรัพย์สินให้ “เสี่ยเจริญ” หวั่นถูกกดราคา!
KTAM ชี้ไม่ควรขายทรัพย์สินให้ "เสี่ยเจริญ" หวั่นถูกกดราคา! พร้อมชู 3 กองทุนอสังหาฯ “TCIF”-“THIF”-"TRI” ศักยภาพเติบโตเต็มเปี่ยม-ปันผลสูง วัดใจผู้ถือหน่วยอนุมัติขายไม่ขาย 17-18 พ.ค.นี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ถึงกรณีบริษัท แอสเสท เวิร์ด จำกัด ในเครือ TCC Group หรือกลุ่มเสี่ยเจริญ หรือ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประสงค์ขอซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนรวมรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ หรือ TCIF, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์ หรือ THIF และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นต์ หรือ TRIF ว่า บริษัทในฐานะผู้จัดการกองทุนมีความเห็นว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ควรอนุมัติให้มีการขายทรัพย์สินออกจากกองทุนดังกล่าว
โดยมองว่าปัจจุบันทรัพย์สินที่มีอยู่ในกองทุนทั้ง 3 กองทุนยังมีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างดี แวลูของที่ดิน แวลูของการสร้างรายได้ของทรัพย์สินยังค่อนข้างลงตัวและสามารถดำเนินกิจการเพื่อสร้างรายได้และยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัด ขณะเดียวกันเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในกองทุนดังกล่าวถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเงินฝาก รวมทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนยังคงได้รับผลตอบแทนจากกองทุนอย่างสม่ำเสมอและอัตราการจ่ายปันผลก็ยังปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนขึ้น จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้ถือหน่วยลงทุนน่าจะยังถือหน่วยลงทุนต่อไป
นอกจากนี้ผู้เสนอซื้อได้ทำคำเสนอซื้อรวมทั้ง 3 กองทุนในราคาประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนอยู่ที่ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาท ส่วนมูลค่ารวมของทั้ง 3 กองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 8.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จะเห็นได้ว่าราคาเสนอซื้อที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทยังเป็นราคาที่ไม่สูงมากนัก ดังนั้น หากผู้ถือหน่วยยอมขายหน่วยลงทุนตามราคาเสนอซื้อที่มีเข้ามาในตอนนี้ก็อาจจะได้รับเงินน้อยกว่าการซื้อขายกันในตลาดตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทจะจัดการประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน TCIF และ TRIF ในวันที่ 17 พ.ค.60 และ THIF ในวันที่ 18 พ.ค.60 ตามคำร้องของของผู้ทำคำเสนอซื้อซึ่งมีสิทธิที่จะเรียกประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนรายอื่นเพื่อพิจารณาตัดสินคำเสนอซื้อดังกล่าว เนื่องจากผู้ทำคำเสนอซื้อถือหน่วยลงทุนเกิน 10% ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนเกิน 10% สามารถร้องขอให้ผู้จัดการกองทุนจัดประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนได้ โดยผู้ถือหน่วยลงทุนจะต้องมาครบ 25 รายจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม
สำหรับการลงคะแนนเสียงพิจารณาคำเสนอซื้อว่าจะขายทรัพย์สินทั้งหมดหรือไม่ในครั้งนี้ บริษัท แอสเสท เวิร์ด จำกัด ไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้ ดังนั้น การประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนจะมีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ประมาณ 66% ของผู้ที่มีสิทธิเข้าประชุมทั้งหมด ส่วนการลงคะแนนเสียงจะต้องได้รับคะแนนเสียง 3 ใน 4 ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากมีการขออนุมัติปิดกองทุนจะต้องได้รับอนุมัติเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนหน่วยที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ หากที่ประชุมมีมติให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดของทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวก็จำเป็นต้องปิดกองทุนลง