KCAR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2.1 พันลบ. ลุยขยายลูกค้า SME เพิ่ม

KCAR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2.1 พันลบ. ลุยขยายฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่-SME เพิ่ม เตรียมวางงบลงทุน 1.65 พันลบ. เพื่อเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่าอีก 150 คัน-เปิดสาขา Toyota Sure ใหม่


นายพิชิต จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทกรุงไทยคาร์เรนท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มาหชน) หรือ KCAR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท หรือเติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2 พันล้านบาท โดยบริษัทได้มีการปรับแผนการดำเนินงานที่เน้นการทำธุรกิจในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งจะเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะยังมีความต้องการใช้รถและมีอัตราค่าเช่าที่ค่อนข้างดี โดยล่าสุดบริษัทได้ลูกค้ารายใหญ่ 2 รายที่เข้ามาใช้บริการรถเช่าในพอร์ต คือ เครือ SCG และ TOT ซึ่งมีจำนวนการใช้บริการรถเช่ารวม 1,200 คัน

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายไปสู่กลุ่มเอสเอ็มอีอีกด้วยเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น แต่จะไม่เน้นมากนัก เพราะปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ส่งผลให้ธุรกิจของกลุ่มเอสเอ็มชะลอตัว และทำให้ความต้องการใช้รถของกลุ่มเอสเอ็มอีชะลอตัวตาม โดยปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการรถเช่าของบริษัทอยู่ราว 1 พันราย ซึ่งระยะสัญญาเช่ารถเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 ปี

สำหรับภาพรวมของธุรกิจให้บริการรถเช่ารถในปัจจุบันพบว่าลูกค้ายังมองหรือให้ความสำคัญเรื่องราคาเป็นหลัก ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทจากนี้ไปจะเน้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านกลยุทธ์เชิงรุกหลักที่วางไว้ 2 กลยุทธ์ คือ การเน้นกลยุทธ์ด้านราคามากขึ้นสำหรับลูกค้ากลุ่มที่เน้นการลดต้นทุนและมีความต้องการด้านการบริการน้อย โดยในปัจจุบันทางบริษัทยังไม่ได้มีการให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้มากนัก  ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้ได้

โดยการรุกตลาด Blue ocean ที่เป็นลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีมากขึ้น หลังจากที่ได้เข้าไปเจาะตลาดกลุ่มนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าสามารถเพิ่มมาร์จิ้นได้ และการแข่งขันยังไม่สูงนัก โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะมีระยะเวลาของสัญญาเช่า (Terms & Condition) อยู่ที่ 1-3 ปี ซึ่งเป็นสัญญาที่เหมาะ เพราะสามารถสนองตอบต่อธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอีให้สามารถควบคุมต้นทุนได้

“ผมยอมรับว่าตลาดมีการแข่งขันกันสูง ส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์ด้านราคา การที่บริษัทฯ มีผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคง จากข้อได้เปรียบในด้านการประมาณการที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพในการบริหารและการจัดการความเสี่ยงได้ดี โดยบริษัทสามารถควบคุมความเสี่ยงที่สูงที่สุด คือ ค่าเสื่อมราคา โดยที่เราได้มีบริษัทลูกที่จำหน่ายรถยนต์มือสองเอง ทำให้สามารถประมาณการต้นทุนได้อย่างแม่นยำ และมีผลประกอบการที่มั่นคง”นายพิชิต กล่าว

สำหรับธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือสองของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่ 2,400 คัน จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,200 คัน โดยบริษัทประเมินว่าแนวโน้มของตลาดรถยนต์มือสองเริ่มเห็นการกลับมาฟื้นตัวมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 59 ทั้งในแง่ของยอดขายและราคาที่เริ่มเสถียรมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการรถยนต์คันแรกเริ่มทยอยสิ้นสุดกำหนดถือครอง 5 ปี ประกอบกับ การวางเงินดาวน์ของรถยนต์มือสองน้อยลงกว่ารถยนต์ใหม่ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต และสถาบันการเงินมีความผ่อนคลายการให้สินเชื่อมากขึ้น ทำให้ตลลดรถยนต์มือสองกลับมาฟื้นตัว

โดยปัจจุบันจะเห็นว่ารถยนต์มือสองที่มีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.6 ลิตรขึ้นไปได้รับความนิยมจากลูกค้าที่เข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก เพราะราคาขายถูกกว่าการซื้อรถยนต์ใหม่ค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นหนึ่งแนวโน้มที่ช่วยสนับสนุนให้ตลาดรถยนต์มือสองกลับมาฟื้นตัว ซึ่งในปี 60 บริษัทได้วางแผนเปิดศูนย์ Toyota Sure เพื่อจำหน่ายรถยนต์มือสอง อีก 1 แห่ง ในย่านวงแหวนกาญจนาแห่งใหม่ ช่วงไตรมาส 4/60 จากปัจจุบันบริษัทมีศูนย์ Toyota Sure ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สาขารามอินทรา กม.9, สาขาถนนกาญจนาภิเษก (พุทธมนฑล สาย 2) และสาขาที่ถนนศรีนครินทร์

ทั้งนี้ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือสองเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรถยนต์ให้เช่า 50% ซึ่งการที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจรถยนต์มือสองเพิ่มขึ้น เพราะการรับรู้รายได้จากการขายรถยนต์มือสองเข้ามาเป็นรายได้ได้เร็วกว่าการให้บริการรถเช่า ประกอบกับการขยายศูนย์จำหน่ายเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งแผนขยายสาขาในปี 61 อยู่ระหว่างการมองหาทำเลย่านรามอินทราเพื่อลงทุนก่อสร้างศูนย์ Toyota Sure แห่งใหม่

สำหรับการเติบโตของรายได้ของบริษัทภายใน 3 ปี (ปี 60-63) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 8-10% และในปี 60 บริษัทวางงบลงทุนอยู่ที่ 1.65 พันล้านบาท แบ่งเป็นการเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่า 2% หรือราว 150 คัน จากปัจจุบันมีจำนวนรถยนต์ให้เช่าทั้งหมด 7,600 คัน โดยใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท และเงินลงทุนอีก 150 ล้านบาท ไว้ใช้ลงทุนเปิดสาขา Toyota Sure แห่งที่ 4 ในไตรมาส 4/60

Back to top button