TSE ตั้งเป้า COD ปีนี้ 120 MW ก่อนเพิ่มเป็น 160 MW ในปี 61

TSE ตั้งเป้า COD ปีนี้ 120 MW ก่อนเพิ่มเป็น 160 MW ในปี 61 จาก 112 MW ในปัจจุบัน เจรจาซื้อโซลาร์ฟาร์ม 1-2 แห่งในญี่ปุ่นรวม 40-50MW คาดสรุปผลได้ใน Q3/60


นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทอนุมัติเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป หรือ General Mandate จำนวน 544.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 30% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งหมด

โดยคาดว่า จะสามารถระดมทุนได้ราว 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ ซึ่งสามารถที่จะดำเนินการเพิ่มทุนใน 2 รูปแบบคือ การเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง หรือ PP และการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม หรือ RO โดยบริษัทฯจะพิจารณาตามความเหมาะสม และจะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับการเข้าลงทุนโครงการในอนาคตต่อไป โดยบริษัทฯตั้งเป้าอัตราส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สิน (D/E) อยู่ที่ไม่เกิน 3 เท่า จากปัจจุบันมี D/E อยู่ที่ 1.4 เท่า

นางสาวแคทลีน กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นยังมีการเติบโตได้ค่อนข้างมากโดยเฉพาะโครงการที่มีอัตราขายไฟอยู่ที่ 36 เยนต่อหน่วยที่ยังเหลืออีกราว 200-300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งบริษัทจะขอผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป

“เราขอเพิ่มทุนทั้งหมด 30% ของหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มทุนในครั้งนี้เป็นการเพิ่มทุนเพื่อที่จะใช้ในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อรักษาระดับ D/E ให้มีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯอาจจะไม่เพิ่มทุนเต็มจำนวน ซึ่งอาจจะออกแค่บางส่วนให้มีความเหมาะสม และเพียงพอต่อการขยายกิจการเท่านั้น”นางสาวแคทลีน กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิต 40-50 MW เพิ่มเติม 1-2 โครงการในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะสามารถตรวจสอบสถานะทรัพย์สิน (Due Diligence) และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 154.98 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนรวมทั้งหมดประมาณ 19,658 ล้านบาท ซึ่งผู้ถือหุ้นได้อนุมัติเข้าลงทุนแล้วนั้นอยู่ในระหว่างดำเนินการเรื่องเอกสารในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาในโครงการดังกล่าวได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

นอกเหนือจากนี้บริษัทฯอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมในการยื่นเป็นผู้สนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับส่วนราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ในระยะที่ 2

“เรามีแผนในการขยายการลงทุนในประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องอีก 1-2 โครงการในปีนี้ รวมถึงการเข้าร่วมโครงการโซลาร์สหกรณ์ และหน่วยราชการในระยะที่ 2 ซึ่งเราได้เตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยมีการขอเพิ่มทุนจากคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหารงาน ซึ่งการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทฯมีโครงการที่มีศักยภาพรองรับการเพิ่มทุนที่ชัดเจน และที่ผ่านมาบริษัทฯได้ประสบความสำเร็จในการขยายการลงทุนตามแผนมาโดยตลอด ซึ่งการขยายการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยขยายโอกาสในการสร้างรายได้ และผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต” ประธานกรรมการบริหาร TSE กล่าว

นางสาวแคทลีน กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ามีกำลังการผลิตจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งหมด 120  MW ภายในปีนี้จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตที่จ่ายไฟแล้ว 112 MW โดยมีกำหนดจ่ายไฟเข้าระบบจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงต้นไตรมาส 4/60 อีกราว 7 MW

นอกจากนี้คาดว่าการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.60 ที่ 12.52 สตางค์ต่อหน่วยตามมติของกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะช่วยหนุนรายได้จากโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟในรูปแบบ Adder ที่บริษัทมีอยู่ราว 80 MW เข้ามาอีกราว 10 ล้านบาทในปีนี้

สำหรับปี 61 ตั้งเป้ามีกำลังการผลิตที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว 160 MW โดยมาจากการจ่ายไฟของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคใต้ 3 โครงการกำลังการผลิต 22 MW ในช่วงต้นปี 61 และมีแผนนำโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีก 17 MW ในช่วงกลางปี 61

ด้านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิตติดตั้ง 183 MW ในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้อยู่ระหว่างการรอชำระเงินกับคู่ค้าญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้ภายในช่วงกลางปี 61 เป็นต้นไป และจะใช้เวลาก่อสร้างราว 3 ปี หรือจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 3/65

ทั้งนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะย้ายเข้าไปยังตลาดหลักทรัพย์ (SET) แต่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการย้าย แต่อาจจะเป็นในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีต่อจากนี้ โดยมองว่าการที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในตลาดใหญ่นั้น บริษัทฯต้องมีขนาดที่ใหญ่กว่านี้ เพื่อที่หลังจากการย้ายเข้าไปแล้วจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างชาติ

“ทุกคนที่เข้ามาในตลาดต่างก็อยากที่จะเติบโตทั้งนั้น จากที่เราถามหลาย ๆ บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาด mai ก็อยากจะย้ายหากบริษัทมีขนาดที่ใหญ่พอ เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะย้ายหากบริษัทฯเรามีขนาดใหญ่มากกว่านี้ กำลังการผลิตมากกว่านี้ เพราะหากเข้าไปตอนนี้เราก็ไปเป็นแค่ตัวเล็ก ๆ และคงไม่ค่อยมีใครเห็น ซึ่งเราก็ต้องมีระยะเวลาที่มีความเหมาะสมด้วย”นางสาวแคทลีน กล่าว

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯประจำไตรมาส 1/60 มีกำไรสุทธิ 130.22 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 129.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 0.83 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิของบริษัทฯ เป็นผลมาจากการที่กลุ่มบริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์  สำหรับโครงการใหม่ในประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มสูงขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งสิ้น 36 โครงการกำลังการผลิตเสนอขายรวม 143.68 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในประเทศ 29 โครงการกำลังการผลิตเสนอขาย 121.7 เมกะวัตต์ และประเทศญี่ปุ่น จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 21.98 เมกะวัตต์

Back to top button