LANNA คาดกำไรปี 60 โตดีกว่าปีก่อน ตามปริมาณการผลิต-ราคาถ่านหินพุ่ง
LANNA คาดกำไรปี 60 โตดีกว่าปีก่อน ตามปริมาณการผลิต-ราคาขายถ่านหินพุ่ง - ทุ่มงบ 6 พันลบ. เข้าซื้อ 2 เหมืองถ่านหิน-พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในอินโดฯ คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ประธานเจ้าหน้าที่บบริหาร บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำได้ดีกว่าระดับ 271.45 ล้านบาทในปีที่แล้ว ตามปริมาณการผลิตและราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้ธุรกิจเอทานอลจะมีผลประกอบการที่อ่อนแอลงจากต้นทุนกากน้ำตาลที่สูง ขณะที่เตรียมงบประมาณ 4-6 พันล้านบาท ลงทุนตามแผน 5 ปีที่คาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ปี 61 เพื่อรองรับการเข้าซื้อ 2 เหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย และการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน 200 เมกะวัตต์ มูลค่า 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าทั้ง 2 แผนงานดังกล่าวจะมีความชัดเจนการลงทุนในปีนี้
“กำไรดีกว่าปีก่อนอยู่แล้ว ถ้าเราดูปีที่แล้วราคาถ่านหินเริ่มต้นที่ 50 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ตอนปีนี้เริ่มที่ 80-82 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปริมาณการผลิตปีนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วย ในช่วงครึ่งปีหลังเหมืองถ่านหิน SGP จะเปิดพื้นที่ใหม่ไตรมาส 2 เราจะดีมากไตรมาส 1 ก็มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 3% แต่ไตรมาส 2 จะดีมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะในเดือนเมษายนจะเป็นเดือนแรกที่ 2 เหมืองทำกำไรได้ในรอบ 3 ปี เดือนพฤษภาคม ก็ยังประคองอยู่ ส่วนเดือนมิถุนายน ก็ดูว่าจะมีลูกค้ามารับมากน้อยแค่ไหน แตที่เห็นชัด ๆ ในมือ perform ดี” นายสีหศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบัน LANNA มีฐานการผลิตและจัดจำหน่ายถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย โดยถือหุ้น 55% ในเหมือง LHI และถือหุ้น 65% ในเหมือง SGP ขณะเดียวกันยังถือหุ้น 51% ใน บริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TAE ซึ่งทำธุรกิจเอทานอลด้วย โดยในปีที่ผ่านมาธุรกิจถ่านหินทำกำไรได้ในสัดส่วนราว 42% และเอทานอลมีสัดส่วนกำไรราว 32% ส่วนกำไรที่เหลือมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและรายได้อื่น
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ SGP ขาดทุนมาตลอด เนื่องจากมีข้อจำกัดในการดำเนินงาน เพราะอยู่ในพื้นที่ป่า ประกอบกับราคาถ่านหินอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม เหมือง SGP จะกลับมาทำกำไรได้ตั้งแต่เดือน เม.ย.นี้ โดยปีนี้บริษัทได้รับอนุญาตให้ผลิตถ่านหินจากเหมือง SGP เพิ่มเป็น 2.7 ล้านตัน จาก 1.4 ล้านตันในปีที่แล้ว แต่คาดว่าทั้งปีคงจะมีการผลิตราว 2 ล้านตัน ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะผลิตจากเหมืองแห่งนี้ 6 แสนตัน และจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งปีหลังที่จะมีการเปิดพื้นที่ใหม่เพิ่มเติม
ส่วนการผลิตจากเหมือง LHI คาดว่าจะผลิตในปีนี้ราว 3.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านตันในปีที่แล้ว ทำให้ภาพรวมการผลิตถ่านหินจาก 2 เหมืองในปีนี้เพิ่มขึ้นมาที่ราว 5.5 ล้านตัน จากราว 4.6 ล้านตันในปีที่แล้ว
สำหรับทิศทางราคาถ่านหินในปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นจากปีก่อนที่ โดยราคาสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แม้จะมีอ่อนตัวลงบ้างในช่วงนี้ แต่ก็เชื่อว่าจะยังคงยืนอยู่ได้จากความต้องการใช้ที่ยังคงมีอยู่มาก ทั้งนี้ มองว่าราคาถ่านหิน Newcastle ที่ยืนอยู่ในระดับ 70-80 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ก็จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัททำได้ดีกว่าปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจเอทานอลในปีนี้คาดว่ากำไรจะอ่อนตัวลงจากปีก่อนที่มีกำไร 87.56 ล้านบาท แม้ว่าราคาขายจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาวัตถุดิบกากน้ำตาลปรับตัวสูงขึ้นมาก และยังมีความเสี่ยงปริมาณกากน้ำตาลที่น้อยกว่าปกติด้วย ขณะที่กลุ่มบริษัทมีโรงงานเอทานอล 2 โรง โดยโรงที่ 2 สามารถใช้วัตถุดิบร่วมทั้งจากกาน้ำตาลและมันสำปะหลัง ซึ่งบริษัทจะเริ่มใช้มันสำปะหลังเข้ามาเป็นวัตถุดิบในช่วงเดือนก.ค.นี้ เพื่อรักษาระดับการผลิต ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะยังอยู่ในระดับมากกว่า 90 ล้านลิตร/ปี
“ธุรกิจเอทานอลปีนี้เหนื่อยกว่าเยอะ ราคาดี แต่ต้นทุนก็แพงมากไตรมาส 1 จะเป็นปีที่ดีสุดเพราะได้ yield ดีที่สุด และไตรมาสสุดท้ายต้นทุนจะไต่ขึ้นไป ปีนี้ความเสี่ยงจะมีกากน้ำตาลน้อยกว่าปกติ เราก็จะใช้มันเข้ามาในเดือน 7 ก็จะพยายาม maintain ไว้ plant แรกใช้กากน้ำตาลอย่างเดียว ส่วน plant ที่สองใช้ได้ทั้งกากน้ำตาลและมัน การผลิตด้วยมัน แม้จะมีต้นทุนต่ำ แต่ข้อเสียคือค่าพลังงานเพิ่มขึ้น”นายสีหศักดิ์ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนราว 4-6 พันล้านบาทในช่วง 5 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 61 เพื่อรองรับการลงทุนซื้อเหมืองถ่านหินและพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 200 เมกะวัตต์ในอินโดนีเซีย ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะมีความชัดเจนในปีนี้ โดยความคืบหน้าของการซื้อเหมืองถ่านหิน 2 แห่งในอินโดนีเซียนั้น ล่าสุดได้นำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเมื่อช่วงเดือน เม.ย.และเตรียมนำเข้าเสนออีกครั้งในเดือน ก.ค.นี้ว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป
เหมืองแห่งแรก มีขนาดไม่ใหญ่มากปริมาณสำรอง 30-35 ล้านตัน มีปริมาณถ่านหินที่มีค่าความร้อนราวมากกว่า 4,000 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม และเหมืองแห่งที่สอง เป็นแหล่งถ่านหินที่มีความร้อนต่ำกว่า 4,000 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม แต่มีปริมาณสำรองมากราว 600 ล้านตัน รวมถึงยังมีโรงไฟฟ้าขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ส่วนการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 200 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการราว 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น จะเป็นการพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตร ซึ่งบริษัทเตรียมจะเสนอโครงการต่อทางการอินโดนีเซียในช่วงไตรมาส 3/60 และน่าจะประกาศผลได้ในสิ้นปีนี้ หลังจากนั้นจะให้ยืนยันการดำเนินโครงการภายใน 90 วัน ซึ่งเดิมทางอินโดนีเซียต้องการให้มีผลผลิตไฟฟ้าออกสู่ระบบในช่วงปี 64-65 แต่ล่าสุดเห็นว่ามีความต้องการให้มีผลผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 62-63 หากเป็นเช่นนั้นก็คาดว่าบริษัทจะต้องเริ่มก่อสร้างในปีหน้า ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินมีระยะเวลาพัฒนาไม่เกิน 1 ปี
“สำหรับเงินที่จะใช้ในการลงทุนนั้นเราก็ศึกษาหลายรูปแบบ ทั้งหุ้นกู้ที่ตอนนี้เราเริ่มทำเรตติ้ง ซึ่งอาจจะออกในปีหน้าที่เป็นช่วงที่ต้องการใช้เงิน เรื่องเพิ่มทุนก็มีโอกาส เราศึกษาทั้งหมดเพิ่มทุนหรือออกหุ้นกู้” นายสีหศักดิ์ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้นในเหมือง LHI และ SGP เหลือแห่งละไม่เกิน 49% เพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ใหม่ของทางการอินโดนีเซียที่ต้องการให้ต่างชาติถือหุ้นในเหมืองถ่านหินไม่เกิน 49% ภายในปี 62 โดยกลุ่มบริษัทนับเป็น 2 ใน 18 รายที่ยังไม่ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว ซึ่งได้พยายามหารือกับทางการอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะหาแนวทางที่ดีที่สุดในการที่จะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าวลง คาดว่าจะต้องสรุปให้ได้ภายใน 1 ปีจากนี้