PTG คาดรายได้-กำไร Q2 ดีกว่า Q1 หลังค่าการตลาด-ปริมาณขายเพิ่มขึ้น
PTG คาดรายได้-กำไร Q2/60 ดีกว่า Q1/60 หลังค่าการตลาด-ปริมาณขายเพิ่มขึ้น เล็งสรุปดีลซื้อกิจการใน H2/60
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้และกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/60 จะดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 2.09 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 181.25 ล้านบาท
ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ค่าการตลาดกลับขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ จากช่วงไตรมาส 1/60 ลดลงไปอยู่ที่ 1.69 บาท/ลิตร ประกอบกับปริมาณการขายเพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มผลประกอบการทั้งปียังคงมั่นใจว่ารายได้จะขึ้นไปแตะระดับ 1 แสนล้านบาท ตามปริมาณการขายที่คาดจะเติบโต 30-40% จากปีก่อนอยู่ที่ 2.9 พันล้านลิตร
“ปีนี้เรายังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย แม้ว่าช่วงไตรมาส 1/60 จะมีผลประกอบการที่ไม่ดีนัก และถือว่าแย่ที่สุดของปีนี้แล้ว ไตรมาสอื่น ๆ ก็คงจะไม่มีแบบนี้อีก ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการตลาดที่ปรับตัวลดลง ซึ่งก็เกิดขึ้นแบบนี้ทุก ๆ ปี แต่อาจจะเกิดในไตรมาสอื่น โดยในช่วงไตรมาส 2/60 นี้สัญญาณก็ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของปริมาณการขายและค่าการตลาด เราจึงยังคงเป้าทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ในปีนี้ เติบโตที่ระดับ 50-60% จากปี 59” นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจนอน-ออยล์ (Non-Oil) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 60% ภายในปี 65-67 จากปีนี้ที่คาดจะอยู่ที่เพียง 6-8% โดยตั้งเป้าที่จะขยายสาขาของร้านกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 200 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 60 จากสิ้นไตรมาสที่ 1/60 ที่มีสาขาทั้งหมด 60 สาขา โดยไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่เพียงในสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น แต่จะขยายไปตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย และสนามบินต่าง ๆ เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องภายใต้แบรนด์ PT Maxnitron ที่ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ 5 ล้านลิตร
ขณะที่การลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) จะสามารถเริ่มกระบวนการผลิตไบโอดีเซลได้เต็มรูปแบบในช่วงไตรมาสที่ 3/60 ส่วนโครงการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง เพื่อใช้ผสมในน้ำมันเบนซินนั้น อยู่ระหว่างการออกแบบ และเจรจาซื้อเครื่องจักร สำหรับโครงการศูนย์บริการ และซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุกแห่งแรก ที่ให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ 5 สาขาในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทยังมีการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจนอน-ออยล์ โดยมองในธุรกิจพลังงานอื่น ๆ และธุรกิจที่นอกเหนือจากพลังงาน โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นความชัดเจน 2-3 ธุรกิจ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนธุรกิจหลักสามารถเติมเต็มการให้บริการที่ครบวงจรอย่างยั่งยืน
“ตอนนี้รายได้ และกำไร หลักยังมาจากธุรกิจ Oil แต่อนาคตกำไรสุทธิส่วนใหญ่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจ Non-Oil มากกว่า 50% จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เหวี่ยงไป ๆ มาเหมือนกับที่ผ่านมาที่ผลประกอบการจะเคลื่อนไหวไปตามค่าการตลาด”นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทขยายสาขาและเพิ่มยอดขายให้กับ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ในระดับหนึ่งแล้ว บริษัทมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 ปีจากนี้
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุน 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในการขยาย และปรับปรุงธุรกิจหลัก 3.5 พันล้านบาท ธุรกิจนอน-ออยล์ 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1 พันล้านบาท ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1,400 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งยังมุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีจำนวน 5.6 ล้านสมาชิก