TAE เล็งซื้อโรงงานเอทานอลกำลังผลิต 2 แสนลิตร/วัน ตั้งเป้าปีนี้กำไร-รายได้โต

TAE ตั้งเป้าปี 58 รายได้โต 10% ตามปริมาณผลิต เชื่อปีนี้กำไรโตหลังคาดอัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 10% จาก 8.7% ปีก่อน เผยเจรจาซื้อกิจการโรงงานเอทานอลในภาคกลางกำลังผลิต 2 แสนลิตร/วัน เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สรอนโยบายรัฐฯ ชัดเจน มั่นใจ LANNA ไม่คิดขายหุ้นออกหลังผลกำไรดี


นายสมชาย โล่ห์วิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TAE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงงานเอทานอลที่ได้รับใบอนุญาตแล้วแต่ไม่พร้อมดำเนินการ โดยมีกำลังการผลิตราว 2 แสนลิตร/วัน ซึ่งจะพิจารณาโรงงานในภาคกลาง เนื่องจากใกล้แหล่งวัตถุดิบหลักคือกากน้ำตาล

ทั้งนี้ หากสามารถบรรลุข้อตกลงได้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเอทานอลเพิ่มเป็น 5.5 แสนลิตร/วัน จากปัจจุบันมีอยู่ 3.5 แสนลิตร/วัน หรือ 120 ล้านลิตร/ปี ซึ่งขณะนี้ใช้กำลังการผลิตราว 80% ทั้งนี้ การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะไม่ขยายกำลังการผลิตเอง แต่จะพยายาม M&A โรงที่มีไลเซ่นส์แล้วแต่ไม่พร้อมดำเนินการ

ขณะที่บริษัทตั้งเป้าปี 58 จะมีปริมาณผลิตและขายเอทานอลที่ 105 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีปริมาณ 97 ล้านลิตร จึงคาดว่ารายได้รวมก็จะเติบโตตามปริมาณขายที่ราว 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 2,500 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 219 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิที่ 10% สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 8.7%

สำหรับราคาขายเอทานอลปีนี้อาจปรับลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่ 25.50 บาท/ลิตร เนื่องจากมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นจึงอาจถูกตัดราคาบ้าง แต่เชื่อว่าราคาคงไม่ต่ำไปมากนัก เพราะการกำหนดราคาขายขึ้นอยู่กับการเจรจากับผู้ซื้อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาที่รัฐบาลกำหนดไว้ในระดับ 27 บาท/ลิตร

โดยถึงแม้มีกระแสรัฐบาลจะทบทวนราคาขายเอทานอล แต่เราก็จะ maintian อัตรากำไรสุทธิให้ได้เป้า 10%.จะพยายามเนื่องจากต้นทุนลดลงที่จะมาเสริมกำไรคือจากโรงไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้แล้ว ผลกำไรก็จะสูงขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 40-50 ล้านบาทสำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานผลิตเอทานอลโรงที่ 1 เนื่องจากเก่ามากแล้วแต่จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเพิ่มเติม โดยขณะนี้มีศักยภาพที่จะผลิตไฟฟ้าได้ 5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นการผลิตใช้เองภายในโรงงาน 3 เมกะวัตต์ ยังเหลืออีก 2 เมกะวัตต์ที่จะสามารถผลิตเพิ่มได้ แต่เนื่องจากขณะนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังไม่ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม จึงจะมีการทบทวนใหม่ และรอให้นโยบายของรัฐบาลที่จะการปรับแผนส่งเสริมพลังงานทดแทนชัดเจนก่อน เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 50-60 ล้านบาท/เมกะวัตต์

ส่วนความกังวลว่าบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TAE สัดส่วน 51% จะขายหุ้นนั้น เชื่อว่า LANNA ไม่ขายหุ้นออกไปแน่ เพราะขณะนี้ TAE สร้างผลกำไรได้ดี และสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 56 ที่ 1.7 เท่า มาเหลือ 1.1 เท่าในปี 57

ด้านนายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการด้านการเงิน LANNA เปิดเผยว่า LANNA ยืนยันไม่ขายหุ้น TAE เนื่องจากยังทำกำไรได้ดี

 

Back to top button