IRPC มั่นใจ EBITDA โตตามเป้า เจรจาพันธมิตรต่อยอดสินค้าPP
IRPC มั่นใจ EBITDA โตตามเป้า 1.8 หมื่นลบ. หลังขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) 3 แสนตัน/ปี แล้วสิ้นใน Q2/60 เจรจาพันธมิตรต่อยอดผลิตภัณฑ์ PP รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโต
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า โครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปี โดยเป็นการขยายกำลังการผลิต PP จากโรงงานเดิมอีก 1.6 แสนตัน/ปี และการผลิต PP Compound (PPC) 1.4 แสนตัน/ปี จะแล้วเสร็จในสิ้นไตรมาส 2/60 ทำให้มี PP เพิ่มเป็น 7.75 แสนตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4.75 แสนตัน/ปี ซึ่งทำให้การดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะอยู่ในระดับที่ดี ส่งผลให้มั่นใจว่าทั้งปีนี้จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงกว่าระดับ 1.74 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่ 1.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกในไตรมาส 2/60 จะต่ำกว่าระดับ 15.69 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 1/60 หลังราคาน้ำมันปรับลดลง ขณะที่ราคาปิโตรเคมียังทรงตัว แม้ว่าส่วนต่าง (สเปรด) ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอะโรเมติกส์ ทั้งเบนซีน และบิวทาไดอีน อ่อนตัวลงมาสู่ระดับปกติหลังจากที่ปรับขึ้นไปมากในช่วงไตรมาสแรก หลังโรงงานหลายแห่งที่ได้หยุดซ่อมบำรุงกลับมาเดินเครื่องตามปกติ แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะมีการผลิต ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอะโรเมติกส์ไม่มากนัก
“GIM ในไตรมาส 2 น่าจะต่ำกว่าไตรมาสแรกเพราะราคาน้ำมันปรับลดลง แต่ก็ยังลุ้นอยู่เพราะไตรมาสแรกเรามี shut down แต่ไตรมาส 2 เราไม่มี โรงกลั่น run เต็มที่ ส่วนปิโตรเคมีก็ยังทรง ๆ มีบ้างที่ปรับลดลงไปในกลุ่มอะโรเมติกส์ แต่เรามีไม่เยอะก็ไม่มีผล”นายสุกฤตย์ กล่าว
สำหรับภาพรวมทั้งปีนี้ยังเชื่อว่า GIM ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกจะสูงกว่าระดับ 13.04 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกประมาณ 30 วัน แต่ปีนี้จะได้รับประโยชน์เต็มที่จากโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ของโรงกลั่นที่จะเริ่มเดินเครื่องเต็มที่เมื่อกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้จะมีการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยในใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ราว 1.8 แสนบาร์เรล/วัน
สำหรับแผนลงทุน 5 ปี (ปี 60-64) ของบริษัทล่าสุดยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยอยู่ระหว่างศึกษาโครงการ BEYOND EVEREST มูลค่าลงทุน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการต่อยอดรองรับโครงการ EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถองค์กรในทุกด้านแล้วเสร็จ โดยคาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/60 ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นการดำเนินโครงการผลิตพาราไซลีน (PX) ขนาด 1 ล้านตัน/ปี และการขยายกำลังการผลิตเอทิลีนอีกราว 50% จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการบริษัทอนุมัติโครงการภายในไตรมาส 3/60 ก็คาดว่าจะใช้เวลาอีก 5 ปีจะดำเนินการแล้วเสร็จ หรือภายในปี 65 ซึ่งมั่นใจตลาดปิโตรเคมีจะยังคงเติบโตเพราะตามปกติจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่แล้ว ขณะที่การผลิต PX ดังกล่าวเป็นการใช้วัตถุดิบจากโครงการ UHV ที่มีอยู่แล้วทำให้มีการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกันบริษัทก็มองโอกาสการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (speciality product) เพื่อสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้จะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อร่วมต่อยอดผลิตภัณฑ์ PP ในอนาคต หลังการขยายกำลังการผลิต PP ที่จะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ เพื่อรองรับตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังเติบโต