กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5%
กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามตลาดคาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4/2560 ในวันนี้ (5 ก.ค. 60) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปีตามตลาดคาดการณ์
นายจตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่องจากการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่กระจายตัวเท่าที่ควร ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงและอาจต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วง จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก แต่มีทิศทางปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวมากขึ้นในหลายกลุ่มสินค้าและตลาดส่งออก และจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้เร็ว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามรายได้ภาคเกษตรที่ปรับดีขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อโดยรวมไม่เข้มแข็งนัก การใช้จ่ายของภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะความต่อเนื่องของการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์โลก นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ขอให้ติดตามผลกระทบจากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะราคาอาหารสดที่ปรับลดลงตามผลผลิตผักและผลไม้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวย และผลของฐานสูงจากภาวะภัยแล้งในปีก่อน รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างช้าๆ ตามปัจจัยด้านอุปทานและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลางของสาธารณชนยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่ากลางของกรอบเป้าหมาย
ด้านภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ภาคธุรกิจสามารถระดมทุนได้เพิ่มขึ้น ทั้งจากสินเชื่อสถาบันการเงินและตลาดทุน สำหรับค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค โดยคณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ สามารถรับมือกับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจการเงินทั้งในและต่างประเทศได้ดี แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุด อาทิ ความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนปัญหาความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาเป็นเวลาน่น ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงของตลาดที่ต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks)
“มองไปข้างหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านต่างประเทศ ในขณะที่การขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศอาจยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ” เลขานุการฯ กนง.ระบุ