PSH ฟุ้งยอดขายปีนี้ลุ้นแตะเป้า 5.5 หมื่นลบ. หลังครึ่งแรกดีเกินคาด
PSH ฟุ้งยอดขายปีนี้ลุ้นแตะเป้า 5.5 หมื่นลบ. หลังครึ่งแรกดีเกินคาด
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ในเครือ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า ยอดขายปีนี้มีโอกาสทำได้ถึงระดับ 5.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าระดับ 5.29 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ในช่วงต้นปี เป็นผลมาจากยอดขายช่วงครึ่งปีแรกทำได้ 2.7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท จากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เติบโตมาก จากความสำเร็จในการขายโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม 2 โครงการ คือ โครงการเดอะ รีเซร์ฟ ทองหล่อ และโครงการแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ หนุนให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้เปิดไป 3 โครงการ คือ โครงการพลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ เฟส 3 โครงการเดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย และโครงการ The Tree จรัญสนิทวงศ์ 30 ซึ่งทั้ง 3 โครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มแวลูที่เปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกสามารถสร้างยอดขายได้อย่างเดียวเช่นPSH ฟุ้งยอดขายปีนี้ลุ้นแตะเป้า 5.5 หมื่นลบ. หลังครึ่งแรกดีเกินคาดเดียวกับคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม ขณะที่ยอดขายของโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกมีทิศทางที่ทรงตัวจากปีก่อนโดยทำยอดขายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท
“ยอดขายในครึ่งปีหลังเรามองว่ามีโอกาสสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากที่ครึ่งปีแรกเราทำได้เกินเป้าที่ 2 หมื่นล้านบาท มาเป็น 2.7 หมื่นล้านบาท เพราะยอดขายคอนโดฯดีมาก และมองแนวโน้มน่าจะดีต่อไปเรื่อย ๆ จาภาพรวมของตลาดที่มีการเติบโตที่ดีกว่าคาด และเรายังมีโครงการใหม่ที่จะเปิดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ก็คาดว่ายอดขายรวมทั้งปีก็มีลุ้นทำได้ 5.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 5.29 หมื่นล้านบาท”นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีก 35 โครงการ มูลค่ารวม 3.9 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่เปิดไปแล้ว 31 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการเปิดโครงการในปีนี้ทั้งหมด 66 โครงการ มูลค่ารวม 5.9 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของกลุ่มธุรกิจแวลู ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท/ยูนิต ในปีนี้เปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 3 โครงการ และเหลือการเปิดในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ
โดยจะเริ่มเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. เป็นต้นไป ได้แก่ โครงการ THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น มูลค่า 900 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท เปิดพรีเซลในวันที่ 5 ส.ค.นี้ และโครงการ THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2.4 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนรับสิทธิจองวันที่ 3 ส.ค.นี้ ที่เดอะมอลล์ท่าพระ เปิดให้ชมสำนักงานขาย และห้องตัวอย่าง วันที่ 19 ส.ค. และเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ก.ย.นี้ บริษัทตั้งเป้าการขายทั้ง 2 โครงการใหม่โครงการละ 50% ในช่วงแรกของการเปิดการขายถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของกลุ่มแวลูที่เตรียมเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/60 อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ THE PRIVACY พระราม 9 และโครงการ The Tree อีก 1 โครงการ ซึ่งบริษัทมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้แม้ว่าจะมีระยะเวลาการขายที่น้อยกว่าปกติ แต่แนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการซื้อโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในด้านการเดินทาง ทำให้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตได้ค่อนข้างดีที่ 3%
ส่วนภาพรวมของการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่ 16% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการเริ่มลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อานิสงส์ตามมา และมีโอกาสที่ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ไนปีนี้จะเติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้ 5%
สำหรับรายได้ของบริษัทในปีนี้ยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.02 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการโอนเฉพาะในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามาอีก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เตรียมโอนในครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ Plum Condo Central Westgate มูลค่า 2 พันล้านบาท โครงการ The Tree สุขุมวิท 50 มูลค่า 500 ล้านบาท โครงการ The Tree โชคชัย 4 มูลค่า 800 ล้านบาท และโครงการ Plum Condo แจ้งวัฒนะ เฟส 2 มูลค่า 1 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบอื่น ๆ ที่ทยอยโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีความกังวลในเรื่องการโอนโครงการแนวราบที่มีความล่าช้าเกิดขึ้น จากปัญหางานก่อสร้างที่ล่าช้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทและลูกค้า
ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปัจจุบันรวมเฉลี่ยราว 10% โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของโครงการคอนโดมิเนียมได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว จากปีก่อนที่อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมมีตัวเลขสองหลัก เพราะปัจจุบันบริษัทได้ให้คำแนะนำกับลูกค้าก่อนการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินและการทำ Pre-approve ก่อน ซึ่งทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของโครงการคอนโดมิเนียมลดลงไปค่อนข้างมาก ในทางกลับกันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นตัวเลขสองหลัก และเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริทรัพย์แนวราบ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการหาวิธีในการให้คำแนะนำกับลูกค้า เพื่อไม่ไห้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัวบริษัทและลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบ