BCPG ส่งซิกผลงาน 2H60 โตทะลัก หลังรับรู้กำไรโรงไฟฟ้าลม-ความร้อนใต้พิภพ
BCPG ส่งซิก 2H60 โตทะลัก รับปัจจัยบวกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ฟิลิปปินส์-โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิตอล (disruptive technology) จะพลิกโฉมธุรกิจพลังงาน ทำให้เกิดการขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ต (internet of energy) ในอนาคตอันใกล้นี้
“สำหรับการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้ จะมีปัจจัยบวกซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์และโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ด้วยการจัดหาเงินกู้ที่ในสกุลเงินที่เหมาะสมกับการดำเนินงานในประเทศนั้นๆ เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน” นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้ตามแผนเต็มไตรมาส
โดยธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น มีผลประกอบการดีมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นและจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า ทำให้บริษัทมีรายได้ประมาณ 171 ล้านบาทจาก 6 โครงการ (กำลังการผลิตตามสัญญารวม 30 เมกะวัตต์)
ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 มีรายได้ประมาณ 43 ล้านบาทจาก 4 โครงการ (กำลังการผลิตตามสัญญารวม 10.7 เมกะวัตต์) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการปรับปรุงทางบัญชีจากการชำระค่าตอบแทนที่เหลือสำหรับการเข้าซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจำนวนประมาณ 140 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากการลงทุนธุรกิจพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ประมาณ 43 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้หากพิจารณากำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ คิดเป็นเงินประมาณ 577 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ประมาณร้อยละ 98 ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินการจริงที่ดีขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม จากการเกิดการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (ซึ่งเป็นผลกระทบต่อตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น) ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้คิดเป็นเงินประมาณ 462 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 1.7
ทั้งนี้บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและศึกษาความเป็นไปในการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ผลกระทบต่อกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ทั้งนี้จากการที่บริษัทได้ดำเนินงานในเชิงรุก ขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด เพื่อย้ำความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจพลังงานสะอาดแบบ pure play ที่มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายรูปแบบ
โดยธุรกิจล่าสุดที่ร่วมลงทุนคือธุรกิจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่งจะลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้นและรับโอนหุ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ในวันนี้ บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมประมาณ 600 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และพร้อมปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น