“ริช สปอร์ต” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 200 ล้านหุ้น เล็งเทรด SET
"ริช สปอร์ต" ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าประเภทรองเท้า-เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ภายใต้ตราสินค้าชั้นนำจากต่างประเทศ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 200 ล้านหุ้น เล็งเทรด SET ระดมทุนเพื่อลงทุนขยายสาขาใหม่-เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัท ริช สปอร์ต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) version แรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 9 ส.ค.60 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น
โดยเสนอขายประชาชนทั่วไป 195 ล้านหุ้น และขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และบริษัทย่อย จำนวน 5 ล้านหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อลงทุนในการขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาเดิม รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยคาดว่าจะใช้เงินภายในปี 62
โดยบริษัทประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าประเภทรองเท้า (Footwear) เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายอื่นๆ (Non-Footwear) ภายใต้ตราสินค้าชั้นนำจากต่างประเทศ โดยได้รับสิทธิจาก Converse Inc. ในการผลิตสินค้าประเภทรองเท้า เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายอื่นๆภายใต้ตราสินค้า Converse
รวมถึงการใช้ตราสินค้า Converse ในการทำการตลาด ขาย จัดจำหน่าย และการโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยณ วันที่ 31 มี.ค.60 บริษัทมีร้านค้าปลีกของบริษัทฯ จำนวน 41 แห่ง และเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าจำนวน 113 แห่ง
สำหรับการจัดหาสินค้าภายใต้ตราสินค้า Converse บริษัทจะสั่งผลิตจากโรงงานของบริษัท เบเนฟิท ชูส์ จำกัด (BNS) ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 99.99% โดย BNS มีกำลังการผลิตสูงสุดสามารถผลิตรองเท้าจำนวน 1,200,000 คู่ต่อปี ปัจจุบัน BNS ผลิตรองเท้าภายใต้ตราสินค้า Converse เพื่อจำหน่ายให้แก่บริษัททั้งหมด
ส่วนโครงการในอนาคต บริษัททำสัญญากับ Pony International Limited ประเทศฮ่องกง โดยได้รับสิทธิออกแบบ ผลิต รวมถึงการใช้ตราสินค้าในการขาย จัดจำหน่าย โฆษณาและประชาสัมพันธ์ตราสินค้า Pony แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Right) ในไทย กัมพูชา และลาว
ทั้งนี้สินค้า Pony แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์รองเท้า (Footwear) และ 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายอื่นๆ (Non-Footwear) ประกอบด้วย เสื้อผ้า กระเป๋า และหมวก กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน
โดยบริษัทแผนเริ่มจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้า Pony ในไทยในเดือน ก.ย.60 ช่วงแรกจะเป็นการขายผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก เบื้องต้นจะเปิดจำหน่ายประมาณ 20 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพและต่างจังหวัด เงินลงทุนต่อสาขาประมาณ 500,000 บาทต่อสาขา (เฉพาะค่าตกแต่ง)
ณ วันที่ 6 มิ.ย.60 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 770 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 570 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 570 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 770 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 770 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 6 มิ.ย.60 คือ บริษัท ริช สปอร์ต โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 171 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% หลังเสนอขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 22.21%, นางสาวพาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ถือหุ้น 133 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.33% จะลดสัดส่วนเหลือ 17.27%, นายภาสวิช วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ถือหุ้น 133 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.33% จะลดสัดส่วนเหลือ 17.27%, นายภาณุวิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ถือหุ้น 132.999 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.33% จะลดสัดส่วนเหลือ 17.27%,
ในปี 57-59 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 811.31 ล้านบาท, จำนวน 1,117.86 ล้านบาท และจำนวน 1,358.84 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโต 37.79% และ 21.56% ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 75.99 ล้านบาท, จำนวน 246.09 ล้านบาท และ จำนวน 298.76 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.30%, 21.90% และ 21.90% ตามลำดับ
สำหรับงวด 3 เดือนแรกปี 60 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 349.86 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 6.54% เป็นผลมาจากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่มีต้นทุนขายจำนวน 162.57 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 88.98 ล้านบาท ส่งผลทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 80.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.79% โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.60 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 955.36 ล้านบาท หนี้สินรวม 214.24 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 741.13 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลตามงบการเงินเฉพาะกิจการในแต่ละปี และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย